ไม่ได้อัพบล้อคซะนาน

เนื่องจากช่วงนี้ เจอพี่สาวแพร่ นิยายจีนใส่... ติดเชื้อมาเรียบร้อยแล้ว
ไม่เป็นอันหลับอันนอนกันเลยทีนี้ + american tv series
ไฝว้กันไปไฝว้กันมา 555555555555 กลางวันเดี๋ยวอ่านหนังสือ มีเซียน มีกำลังภายใน เพลงดาบ
กลางคืนดูแวมไพร์ ดูดเลือด แวร์วูฟ

ทีนี้ล่ะ ไฝว้มั่วละ แวมไพร์เจอเซียนปราบด้วยเพลงดาบ.....
เอ้ะ ไม่ใช่หนิหว่า... ท่าทางจะ multitasking เกินไป
ต้องทีละอย่างซะละ

ว่าจะทำเค้กเมื่อวาน เนื่องจากพรุ่งนี้เป็นวันเกิดหนู !!!!! (Yayyyyy!!)
ยังไม่ได้เลอออ ดองไว้ เนื่องจาก ติดนิยาย..... เหตุผลฟังไม่ค่อยขึ้นเท่าไหร่

พูดถึงไม่ว่าเรื่อง อ่านหนังสือ ดูหนัง หรืออะไรก็ตาม
ปกติเดิมทีปุ๋ยเป็นคนชอบอ่านหนังสือนิยายมากกก มาแต่ไหนละ ภาษาอังกฤษ ภาษาไทย
และหนังสือที่ชอบดูอีกประเภทนึงเลยก็คือ หนังสือทำขนม กับ ของคาวค่ะ

นิยาย ภาพยนตร์ จะชอบแนวออก fantasy ชอบมากกกกกกกกกกกกกกกก ดูแล้วจะเกิดการ obsess ขึ้นมากระทันหัน (แต่ก็แค่ช่วงเดียว) เวลาอ่านก็จะแบบ นึกภาพ โอวว น่าสนุกเนอะ (เพ้อฝันว่ะ กลับสู่โลกได้ละ)

แต่ถึงยังไง นิยายก็ยังคงเป็นนิยาย fantasy อนาคต อาจจะมี หรือไม่มี พวกเรื่องเล่าตำนาน อาจมี หรือ อาจไม่มี อย่าไปคิดให้เปลืองสมองซะดีกว่า เพราะที่เราต้องทำ คือปัจจุบัน!!!!!

I need to get down to the earth!!! NOW!

เค้กสุดโปรด ต้องยกให้ "Opéra"

เขียนเรื่องเกี่ยวกับขนมนมเนย ครั้งที่สอง ก็คิดอยู่เหมือนกันว่าอยากจะเขียนอะไรดี
อยู่ดี ๆ ก็ปิ๊งงงงงงงง ไอเดียขึ้นมาว่า อยากกินโอเปร่าอ่ะ...
เค้กชนิดนี้ ส่วนตัวแล้ว "ชอบที่สุด" This is my all time favourite cake!!

หลายคนชอบบบบบบบบ โอเปร่า ล่ะเส่ะ แต่หลายคนอาจจะแบบ เค้กไรอ่ะ? ไม่เห็นรู้จักเลยอ่ะ?
แต่รับรองค่ะว่า ถ้าให้ดูรูป ทุกคน "อ๋ออออออ" แน่นอน
แต่แต๊นนนน




(หน้าเละนิดนึง เนื่องจาก อันนี้ทำครั้งแรกค่ะ)

ว่าด้วยเค้กโอเปร่า มีหลายรูปแบบเหลือเกิ้น จะเป็นโดม จะเป็นชิ้น เป็นได้ในทุกรูปแบบ แต่ทุกรูป ยังไง๊ ยังไง ก็ต้องประกอบด้วยส่วนประกอบหลักดังนี้ Joconde biscuit, chocolate ganache, coffee buttercream, coffee syrup, chocolate glaze และอาจจะมีทองคำเปลวตกแต่งหน้าอีกนิดโหน่ย



เรามาดูแต่ละชั้นกันดีกว่า ว่ามันคืออะไร
1. Joconde biscuit บิสกิต? อ่ะ ม่ายช่ายยยย ตอนแรกก็เข้าใจว่าแบบนั้นเหมือนกันค่ะ แต่เนื่องจากเชฟ เป็นคนฝรั่งเศส เค้าเลยอ่านว่า "โจคองด์ บิสกวี" (พยายามสะกดเป็นไทยให้ได้ดีที่สุดแล้วค่ะ) เป็นเนื้อคล้าย ๆ เค้กเนื้อสปันจ์ (เนื้อฟองน้ำ, เนื้อนิ่ม) แต่เป็นเค้กเนื้ออัลมอนด์ค่ะ จะใช้ส่วนผสมแป้งในเค้กน้อย ไม่เน้นให้ส่วนผสมขึ้นฟูเนื่องจากต้องการทำให้เป็นแผ่นเรียบค่ะ เนื้อจะเป็นลักษณะพอเคี้ยวปุปจะรู้สึกเหมือน ทานถั่วอัลมอนเล็ก ๆๆๆๆๆๆ (อารมณ์มาการอง)

2. Chocolate ganache ไม่มีอะไรมากค่ะ มันคือ ชอคโกแลต ผสมครีมนั่นเอง

3. Coffee buttercream จะว่าด้วยบัตเตอร์ครีมมันก็เรื่องยาวอีกน่ะแหละ บัตเตอร์ครีมทำได้หลายแบบค่ะ ในคราวก่อนที่ปุ๋ยเขียนไป ก็เกี่ยวกับบัตเตอร์ครีม แต่อันนั้นจะเป็นบัตเตอร์ครีมแบบชนิดไม่มีไข่ (ที่บ่นว่าล้างยากกกกส์บรมนั่นแหละ) บัตเตอร์ครีมในสูตรโอเปร่านี้ จะเอาเฉพาะ "ไข่แดง" มาตีให้สีอ่อน แล้วค่อยใส่ ไซรัปที่อยู่ในขณะ soft ball stage (115-120c)* แล้วถึงจะนำเนยลงไปในส่วนผสมค่ะ แล้วไว้ว่ากันเรื่องบัตเตอร์ครีมแบบอื่น

4. Coffee syrup มันคือน้ำเชื่อมผสมกาแฟค่า

5. Chocolate glaze ชอคโกแลตเคลือบหน้าเค้ก

* = จะเขียนเรื่อง stage ของน้ำตาลไว้แยกอีกทีนะคะ 

โดยส่วนตัวปุ๋ยแล้ว แค่นี้ก็อร่อยแล้วค่ะ แต่หลัง ๆ มานี่ ขอเหอะ ด้วยความที่เป็นคนชอบทาน "ฐาน" ชีสเค้กมากที่กรอบ ๆ เลยแต่จะเอาคุกกี้มาบดแล้วกด ๆ ก็ไม่ใช่ เลยทำเวเฟอร์ มารองข้างล่างโอเปร่าอีกทีค่ะ คำเดวฟินเฟร่ออออออว์

ประวัติของโอเปร่า พยายามหาหลายที่นะคะ แต่ไม่เจออะไรที่เป็นแน่นอนเลย แต่ตอนเรียน เชฟเล่าว่า ตอนนั้น ประธานาธิบดีของอเมริกา จะเยือนฝรั่งเศส และด้วยความที่ฝรั่งเศสขึ้นชื่อเรื่องขนม เลยคิดขนมชิ้นนี้ขึ้นมา เพื่อเสิร์ฟขณะดู "โอเปร่า" และด้วยความที่ตอนนั้นฝรั่งเศสต้องการกู้เงินจากอเมริกาเลยเอาใจพิเศษ แต่รู้มั้ยคะ อเมริตอบว่าอะไร.........​"ไม่"............... (เชฟเป็นคนอังกฤษ อาจจะมีการบิดเบือนเรื่องเล็กน้อย) โดยส่วนตัวแล้วคิดว่า มันน่าจะมีที่มามากกว่านี้ป่ะะะ แต่ก็เอาเถอะ มันอร่อยหนิหน่า

เหมาะสำหรับคนที่เลือกไม่ถูก ระหว่าง โอ้ย ฉันจะเอาเค้กกาแฟดี หรือ เค้กชอคโกแลตดีเนี่ย???
คุณได้ทั้งสองอย่างในเค้กชนิดนี้ค่ะ ชอบตรงที่ เวลาใช้ส้อมจิ้มเค้ก จิ้มเค้กจากด้านบน ลงไปถึงฐานปุป เอาเข้าปาก แล้วจะได้รสชาติทุกอย่างของตัวเค้กทั้งหมด โดยที่ไม่ต้องนั่งเลือก ว่าจะเอาตรงไหนดีน้ออ

ใครที่ยังไม่เคยลองทาน ไปหาลองทานกันได้นะคะ xoxo


(cr. รูปจากหนังสือคุณ Pierre Hermé) 


Frankly, I really really really miss this place. this place we used to hang out during the break, after classes or even before classes, this place we used to gather into a big group and buy drinks for each others, got drunk and laughed out loud, this place we used to hang out til 10pm. i can remember every single details of this place... in this place. if i turn back and walk straight. it's british museum.... what so ever, still really really miss that time


รองเท้ากัดดดดดเค้าาาา!!!!!


เชื่อว่าทุกคนคงประสบพบเจอปัญหานี้มา ไม่ต่ำกว่า 5 รอบแน่ๆ ในชีวิตนี้ มันคือปัญหาระดับโลก!!

"รองเท้ากัด"

ส้นเท้าแหกกันไปเป็นอาทิตย์ๆ ไอตอนใส่แล้วกัดแล้วต้องเดินก็ว่าทรมานแล้วนะ แต่อย่าพูดถึงตอนอาบน้ำเลยค่ะ มัน more than anything!!!!

Tips: เคล็ดลับง่าย ๆ ของปุ๋ยไว้ตอนเป็นแผลรองเท้ากัด เวลาโดนน้ำแล้วมันเป็นความรู้สึกที่ยากจะบรรยาย ใช่มั้ยล่ะคะ ... แสบถึงกระดูก วิธีทำให้ความแสบนั้นลดน้อยลงมาก ๆ ก็คือ เอาฝ่ามือปิดแผลเอาไว้ก่อน ปล่อยให้น้ำไหลไป แล้วค่อย ๆ คลายมือออกจากแผลค่ะ จะลดความแสบลงไปได้เยอะทีเดียว ^ ^

มาว่ากันต่อที่ ปัญหาระดับโลก "รองเท้ากัด"
อุตส่าห์ใส่รองเท้าคู่ใหม่เอี่ยม สวยสง่าออกมาจากบ้าน แต่ดั้นนนนนนนน รองเท้ากัด ทำยังไงล่ะทีนี้ จะเปลี่ยนรองเท้าก็ไม่ได้ หลายท่านคงจะเลือกเข้าร้านสะดวกซื้อ และซื้อพลาสเตอร์มาปิดแผล แต่ปิดตรงนั้นปุ้ป มันดันกัดไอส่วนที่ไม่โดนปิด!!!! เอ้อะ!! เดินก็เสียบุคลิก กะเผลก ๆ ไม่สวยเลย 

วิธีแก้ปัญหาเฉพาะหน้าของปุ๋ยมีหลายวิธีค่ะ
1. พลาสเตอร์นั่นแหล่ะ แปะหลายชั้นหน่อย
2. ถ้าหาพลาสเตอร์ไม่ได้ เข้าห้องน้ำเลยค่ะ กระดาษทิชชู่ค่ะ ทบหนา ๆ (แต่ควรระวังเวลาเดินนะคะ เพราะทิชชู่อาจจะปลิวตามทางได้)
3. พยายามดึงรองเท้า (แน่นอน ในกรณีรองเท้าไม่แพง)
4. อันนี้เวิร์คสุดค่ะ แต่ยาก และ time and money consuming "ซื้อรองเท้าเปลี่ยน" 

ปุ๋ยเคยถูกรองเท้ากัดครั้งนึง ที่ลอนดอนเป็นครั้งเดียวที่ลืมไม่ลงเลย เพราะถูกกัดโดยรองเท้าที่ต้องไปดั้นด้น ค้นหามา และมันก็มาย้อนทำร้ายปุ๋ย T^T แต่งตัวซะสวย เดินกะเผลก จะแอ๊บเดินสวยก็ไม่ไหวจะเคลียร์ และวันนั้น ปุ๋ยทำหมดทุกวิถีทาง ที่จะทำให้ฉันเดินสวยในรองเท้าคู่นี้ให้ได้! 
พอรู้ตัวว่ารองเท้ากัดปุป อันดับแรก ห้องน้ำค่ะ เนื่องจากใกล้ตัว กระดาษทิชชู่ก่อนเล้ยย ละพอมีเวลาก็เข้าร้านสะดวกซื้อเพื่อไปซื้อ ยัยนี่


จะเป็นพลาสเตอร์ซึ่งหนาหน่อย ไว้สำหรับคนที่ "โดนกัดแล้ว" มาแก้ปัญหาที่ปลายเหตุก่อน และก็ต้องรักษาส้นเท้าเราให้ไวที่สุด ตาเหลือบไปเหลือบมาเจอนี่ค่ะ 

พลาสเตอร์แบบฉีด (ไม่รู้ว่าเราบ้านนอกหรือยังไงนะ แต่พึ่งเคยเห็นจริง ๆ ณ เวลานั้น) กลับห้องมา ล้างแผลให้เรียบร้อย ทายา และฉีดสเปรย์ (แต่จริงๆ แปะพลาสเตอร์เอาก็ได้อะ เหมือนกันค่ะ)

ทีนี้เรามาแก้ปัญหาที่ต้นเหตุกันเถอะ
สำหรับคนที่ยัง "ไม่โดนกัด" นะคะ หรือกัดบ้าง แต่ไม่เจ็บมาก และยังไม่เหวอะมากซะทีเดียว ก็คงจะทุเลาอาการลงได้ 

ใช้ตัวนี้ค่ะ !

ไม่ชัวเลยว่าเมืองไทยมีรึเปล่า แต่ถ้าไม่มี ก็อย่าได้แคร์ค่ะ เชิดใส่
วิธีเลือกมีหลายอย่างค่ะ
1 เทียนไข - เอามาถูกับขอบรองเท้าที่กัดค่ะ จะช่วยให้ลื่นขึ้น
2 ปิโตรเลียมเจลลี่ - ก็วาสลีนนั่นแหละ ทาบาง ๆ จะช่วยให้เดินสะดวกขึ้นเยอะเลย
อ่าว... ละถ้าไม่มีวาสลีนอะ? ลิปมันมีมั้ยคะ? ถ้ามี อย่าพึ่งงงงง!!!! พยายามควักแยกออกมาต่างหากดีกว่าค่ะ อย่าเอานิ้วจิ้มละทารองเท้าเสร็จปุ้ปจิ้มลงกระปุกลิปต่อนะ 555555555555555

ปล ความเชื่อส่วนบุคคล "กัดรองเท้าก่อน" อันนี้ปุ๋ยก็เฉยๆ นะ ความจริงก็ไม่ได้เชื่อเท่าไหร่ แต่ปุ๋ยเคยเห็นอาม่าทำแหะ เป็นรองเท้าใหม่เอี่ยมอ่อง เหมิอนกับแค่ จิกฟันลงไปเป็นเสร็จพิธี....

ลากันไปด้วย นางสวยแสนแสบที่ทำเท้า ปุกกะปุ๋ยแหก ทนหนาวเพราะใส่รองเท้าหุ้มส้นไม่ได้ (โดนอะไรไม่ได้เลย แม้กระทั่งถุงน่อง) ไป 2 อาทิตย์ค่ะ 



We love RED lips!


ปากแดงงงงงงงงงงงงงงงง
เดี๋ยวนี้ใครว่า ทาปากแดงแล้วต้องอายุเยอะ มันไม่ใช่แล้ว!! สีแดงแสดงถึงความมั่นใจในตัวเอง เซกซี่ เร่าร้อน ... เอ่อะ ไปกันใหญ่ละ

สารภาพตามตรงว่า ไม่เคยคิดจะทาปากแดงค่ะ จนคิดว่าจะไปสมัครแอร์ เลยต้องขอลองซักหน่อย ตอนลองครั้งแรก บอกเลยยยย ว่าไม่เหมาะอย่างแรงงง ฉันและปากแดง มันเป็นเส้นขนาน T^T 
แต่ก็ไม่ยอมแพ้ !!! ทามันเข้าไป ใครว่าฉันไม่เข้ากับสีแดง ไม่จริง ฉันขาว! ฉันทาได้! เพราะฉะนั้น สาว ๆ คนไหน ที่คิดว่าอยากทาลิปสีแดง แต่คิดว่า ไม่ได้อะ มันไม่ขึ้นจริง ๆ..... ไม่จริงค่ะ ถ้ามีความมั่นใจ อะไรก็ทำได้ค่ะ ! มุ่งมั่น !

เกริ่นซะยาวเนอะ มาดูกันดีกว่า ว่าลิปสีแดงที่ปุ๋ยชอบ ๆ มีอันไหนบ้าง


แต่นแต้นนนน..... 4 แท่ง 4 สไตล์ แต่แดงเหมือนกัน


จากรูปซ้ายไล่ไปขวานะคะ
ysl#1>>mac russian red>>limecrime redvelvet>>limecrime carousel gloss cherry

จะเห็นได้ว่า 4 แท่งนี้มีอะไรต่างกัน...
(แต่ให้ตายเถอะ ปุ๋ยลองถามพี่ชายมา "เนี่ยๆ สี่สีนี้อันไหนสวยยย" คำตอบที่ได้มาคือ "สีแดงเหมือนกัน จะเอามาให้ดูทำไม") //ส่ายหัวพร้อมสลัดความคิดนี้ออกไป

จากรูปจะเห็นได้ว่า YSL จะมีเนื้อ satin คือแบบว่า ไม่ใช่ด้านไปเลย ก็คือมีแวว ๆ เล็กน้อย แต่ไม่มาก

MAC russian red เนื้อ matte คือเนื้อด้าน ไม่มีความวาว

Lime Crime Red velvet เนื้อ satin เหมือนกับ YSL แต่ว่า มันแดงแรงกว่า! 

Lime Crime Carousel gloss (ไม่แน่ใจชื่อสี เดี๋ยวต้องดูอีกที) ก็เนื้อ gloss ไปเลย ผสมชิมเมอร์ กึ่งจะกลิตเตอร์ละ (อีกนิด) แวววับได้ใจจริง ๆ ปากมาก่อน 200 เมตรแน่นอนค่าาา

จะทยอยลงรูปปุ๋ยเอง ที่ใช้ลิปแต่ละสีนะคะ เพราะต้องทยอยถ่าย แต่มีสีนึง ที่ใช้ตอนสมัครแอร์ค่ะ คือ YSL (ตอนนั้นก็ว่ามันแดงเจิดดดละนะ แต่ไปๆมาๆ มีเจิดดกว่าา @_@) แต่ไม่ได้แปลว่าไม่สวยนะ ลองดูกันค่ะ



จะพยายามหาโอกาสทา ให้ครบ ละลงให้ชมเร็ว ๆ นี้นะคะ ^ ^*

อะไรอยู่ในกระเป๋า ??

นั่งว่าง ๆ ไม่มีอะไรทำ นึกไปนึกมา เอ้อ เขียนบล้อค topic นี้ดีกว่า

"What's in my bag?"

ปกติแล้วจะเป็นคนไม่ค่อยชอบเปลี่ยนกระเป๋าเท่าไหร่ ยกเว้นแต่ว่า จะออกไปข้างนอก
(พูดอย่างนี้แสดงว่าถือกระเป๋าอยู่ในบ้าน?)
ใช่แล้วค่ะ เนื่องจากปุ๋ยทำงานอยู่ที่บ้าน ก็จะมีกระเป๋า อเนกประสงค์ ซึ่งใส่ทุกอย่างที่จะใส่อยู่หนึ่งใบ ขนาดพอดีพอเหมาะ ยัดทุกอย่างที่อยากจะยัดได้ แต่บางทีออกจากบ้านตอนเย็น ก็ไม่เปลี่ยนกระเป๋านะคะ ไปทั้งอย่างนั้นเลย สะดวกดี ใบนั้นก็คืออออออออออ Longchamp Le Pliage medium สีชมพู... แปร๋น
ซึ่งคิดว่า สภาพตอนนี้ไม่ค่อยน่าดูเท่าไหร่ มันไม่ชมพูเหมือนตอนที่ปุ๋ยจ่ายตังซื้อมันใหม่ ๆ ณ Harrods ตอนลด 10% ประจำปี ~~~ //หน้าตาเพ้อฝันรำลึกความหลัง....

ไม่พูดพร่ำทำเพลงละ มาดูกันเลย Ms. บ้าหอบฟางอย่างปุ๋ย มีอะไรบ้าง ในกระเป๋าโดเรม่อน...


เอ่อะ... 14 รายการใหญ่เนอะ ต้องเรียกแบบนี้
1. กระเป๋าเครื่องสำอาง

2. Chanel Les 4 ombre quadra eye shadow อายแชโดว์กันตายใช้ได้ทุกสถานการณ์

3. ยาดม กอริลล่า ไว้ดมเวลาเจอ แท็กซี่เหม็น.. คนตัวเหม็น... คนจักแร้เหม็น... เพื่อนจะเป็นลม ฯลฯ

4. Benefit Hervana blush บลัชออน ดองไว้ในกระเป๋าน่าจะสองปีได้ละ.... อาทิตย์นึงหยิบมาปัดแทบจะนับครั้งได้ (อย่างที่บอกค่ะ ไม่ค่อยเติมหน้า)

5. Chanel natural finish pressed powder #20 แป้งอัดแข็งไม่ผสมรองพื้น อยู่ในกระเป๋ามาเกือบสามปีละ ไม่พร่องเลย....

6. Fisherman's Friend อร่อยยย หอม สดชื่น

7. iPhone อวัยวะที่ 33 ของร่างกาย

8. หวีไม้ ซี่ห่าง จะให้เล่าก็ หวีนี้ มีประวัตินิดหน่อยค่ะ กว่าจะมาเป็นอันนี้ได้ในปัจจุบันนั้น มันได้มี พี่ ๆ มันก่อนหน้านี้ หน้าตาเหมือนกันมา สองอันถ้วน แต่อีกสองอันก่อนหน้า หักครึ่งทั้งคู่ค่ะ ที่ชอบเพราะ ซี่มันห่างดี พกสะดวกมาก และไม่มีไฟฟ้าสถิตย์ เคยพกแปรงผมไว้ในกระเป๋านะคะ แต่เนื่องจากของในกระเป๋ามัน รุงรังมากมาย วุ่นวือ ไปหมด เลยทำให้ซี่แปรงมันเสียได้ง่าย เลยเอาออกไปค่ะ

9. เห็นไม่ชัด..... แต่มันคือ กระจกค่ะ ขนาดพกพาสะดวก และบานใหญ่ สำหรับคนหน้าใหญ่ค่ะ 555

10. กุญแจลิ้นชักโต๊ะทำงานปุ๋ยเอง จริงๆ กุญแจมันอันนิดเดียวค่ะ แต่แขวนไว้กับ คิตตี้เน่า ๆ หนึ่งตัว ของฝากจากพี่ชายตอนไปญี่ปุ่นค่ะ

11. ฮู้ จากศาลเจ้าพ่อเสือ เพื่อสิริมงคลแก่ชีวิต

12. ปากกา เผื่อฉุกเฉินค่ะ จะจดอะไรยังไง ได้ทันที

13. กระดาษทิชชู่!!

14. ของกันตายรองจาก โทรศัพท์มือถือค่ะ "กระเป๋าสตางค์" ซึ่งเน่ามาก เหมาะแก่เวลาอันควรที่จะเปลี่ยนได้แล้ว ตอนนี้กำลังรอฤกษ์อยู่ค่ะ ^^

ตอนนี้แค่นี้ก่อน เป็นแบบหัวข้อใหญ่ ๆ และเดี๋ยวคราวหน้า จะเอามาลงให้ดูว่าใน "กระเป๋าเครื่องสำอาง" พกอะไรบ้างค่ะ (จากในรูป มันก็ค่อนข้างล้นนะ แต่พกในบ้านเลยไม่ค่อยเครียดเท่าไหร่ ถ้าออกไปข้างนอกจะเป็นอีกใบค่ะ)

เยอะเนอะ ( _  _")


บ่น บ่น บ่น บ่น บ่น....

Monday morning rain is falling...... steal some covers share some skin....
เอ้อ เปลี่ยนเนื้อร้องหน่อยละกัน เพราะวันนี้วันจันทร์ แต่ฝนดันตก และก็ขี้เกียจลุกจากเตียงเอาซะมาก ๆ ด้วย
หลายคนคงต้องฝ่าสายฝนกันไปทำงาน แต่ปุ๋ยคงโชคดีหน่อยตรงที่ว่าทำงานที่บ้าน ไม่ต้องออกไปเปียกฝน
สำหรับคนที่โดนฝนในเช้าวันนี้ รักษาสุขภาพกันด้วยนะค้ะ ดื่มน้ำอุ่นเยอะ ๆ พักผ่อนให้มากค่าา

จริงๆ ก็มีเรื่องอย่างบ่น บ่น บ่น บ่น อย่างที่ว่าใน topic นั่นแหละนะ

สืบเนื่องจากวันก่อน และ หลาย ๆ ครั้ง ที่ปุ๋ยไปนั่งคุยกับ พนักงานที่ร้าน Bi Chalai ที่สยามเซ็นเตอร์มา (ก็ไปเป็นประจำนั่นแหละ) บางทีเค้าก็ขอให้เป็นนางแบบจำเป็นบ้างบางครั้ง และเอาไปลง instagram บ้าง (แต่ล่ำเถอะ บึ้กเชียว)
ก็เป็นที่ทราบกันดีว่า แบรนด์นี้ เป็นแบรนด์ที่ทุกคนชื่นชอบ และมักจะถูกนำไปทำเลียนแบบตลอด ซึ่งทางพนักงานก็บ่น บ่น บ่น บ่น กับปุ๋ยนั่นแหละ ว่าเค้าก็เพลียเหมือนกัน เค้าคิดแบบมาแทบแย่ สุดท้าย มาที่ร้านขอลองทุกชุด แล้วก็ขอไม้แขวนหนึ่งอัน (ไม่รู้เลยมั้งเอาไปทำอะไร) คือจะว่าไปงานตัดเย็บหรือการตั้งราคามันก็เป็นสิทธิ์ขาดของทางร้านว่าจะอยากขายเท่าไหร่ พนักงานก็ชี้แจงว่า อย่างลายปริ้นของทางร้าน สั่งผ้ามาจากนอกและมาปริ้นเองที่เมืองไทย และเนื่องจากว่าผลิตน้อย cost ก็สูง ซึ่งทำให้ต้นทุนก็แพงไปด้วย เลยต้องขายที่ราคาแพง (ซึ่งก็แพงจริง ๆ ตอนแว่บแรก แวะดูร้านนี้ ดูป้ายราคา สตั้นไปสามวิ) แต่ก็ด้วยความที่ชื่นชอบในแบบ และลายก็อุดหนุนนะ จนเป็นลูกค้าประจำ

มามองกันในอีกแง่มุมนึงบ้าง... หลายคนก็อาจจะบอกว่า ก็ราคามันแพง ไม่สมเหตุสมผลเลย ทำไมต้องจ่ายแพงขนาดนั้น ในเมื่อของปลอมก็มี ราคาก็ต่างกันหลายเท่าเลย ฉันใส่คนอื่นก็ดูไม่ออกหรอก หรือว่า บางทีคนซื้อจากร้านอาจจะไม่รู้เลยก็ได้ ว่านี่เป็นแบบที่ copy มาจากแบรนด์ไหน ๆ ก็ตาม หรือบางท่านอาจจะคิดว่า ก็ฉันพอใจจะใส่แบบนี้ ราคาก็เท่านี้ ก้โอเคแล้ว ถึงจะเป็นของเลียนแบบ แล้ว แล้วไงอ่ะ? เฉยๆ ปะ ก็แค่เสื้อผ้า

ในแง่ความคิดปุ๋ยนะ โอเค บางแบรนด์​ราคาไม่สมเหตุผลเลยยยยจริง ๆ ก็มี แบบ ห๊ะ แค่นี้อะนะ เกือบหมื่น (แค่เสื้อ) คือเราไม่ได้เป็นคนผลิต หรือรู้ขั้นตอนว่าเขาต้องผ่านอะไรมาบ้าง ผ้ามาจากไหน ดีไซน์ หรือว่า วัสดุ และช่างเย็บจะจ้างมาแพงยังไง อันนี้ไม่ทราบ แต่พิจารณาจาก โดยรวมแล้ว มันไม่น่าแพงขนาดน้านนนนนนน (อันนี้พูดโดยรวม ๆ นะคะ ไม่ได้เฉพาะเจาะจงแบรนด์ไหนเป็นพิเศษ) อันนี้ก็แล้วแต่ ผู้บริโภค จะต้องการละกันเนอะ
นานาจิตตัง...

เหมือนรูปนี้...

cr. google

จะบอกว่าคนซ้ายผิดเหรอ ก็เปล่าหนิ แล้วคนขวาล่ะ ก็เปล่า ก็ถูกทั้งคู่ แต่ต่างกันแค่มุมมอง...

และบล้อคฉันมันเกี่ยวกับปรัชญาตอนไหนเนี่ย!!!!!!

เปล่าหรอก คือจริง ๆ แล้วก็แค่ เง็งงวย กับร้านที่ลอกแบบไป แล้วแถม แคปจอจากร้านเขาไปโฆษณา และแปะป้ายเป็นร้านตัวเองอีก คือ ก็นะ โอเค แบบเหมือนกันก็ใช่อ่ะ ไหนๆ ก็ก้อปแล้ว ก็หานางแบบถ่ายเองมั้ย? หรือยังไง? (เน้นว่า ความคิดเห็นส่วนตัวอีกทีนะคะ ไม่ได้เฉพาะเจาะจงว่า นี่คือถูกหรือผิด)



รูปต้นแบบ...



รูปจาก ig: bichalaishop >>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>> รูปจากร้านอื่นแล้วแปะยี่ห้อตัวเอง