ไม่ได้อัพบล้อคซะนาน

เนื่องจากช่วงนี้ เจอพี่สาวแพร่ นิยายจีนใส่... ติดเชื้อมาเรียบร้อยแล้ว
ไม่เป็นอันหลับอันนอนกันเลยทีนี้ + american tv series
ไฝว้กันไปไฝว้กันมา 555555555555 กลางวันเดี๋ยวอ่านหนังสือ มีเซียน มีกำลังภายใน เพลงดาบ
กลางคืนดูแวมไพร์ ดูดเลือด แวร์วูฟ

ทีนี้ล่ะ ไฝว้มั่วละ แวมไพร์เจอเซียนปราบด้วยเพลงดาบ.....
เอ้ะ ไม่ใช่หนิหว่า... ท่าทางจะ multitasking เกินไป
ต้องทีละอย่างซะละ

ว่าจะทำเค้กเมื่อวาน เนื่องจากพรุ่งนี้เป็นวันเกิดหนู !!!!! (Yayyyyy!!)
ยังไม่ได้เลอออ ดองไว้ เนื่องจาก ติดนิยาย..... เหตุผลฟังไม่ค่อยขึ้นเท่าไหร่

พูดถึงไม่ว่าเรื่อง อ่านหนังสือ ดูหนัง หรืออะไรก็ตาม
ปกติเดิมทีปุ๋ยเป็นคนชอบอ่านหนังสือนิยายมากกก มาแต่ไหนละ ภาษาอังกฤษ ภาษาไทย
และหนังสือที่ชอบดูอีกประเภทนึงเลยก็คือ หนังสือทำขนม กับ ของคาวค่ะ

นิยาย ภาพยนตร์ จะชอบแนวออก fantasy ชอบมากกกกกกกกกกกกกกกก ดูแล้วจะเกิดการ obsess ขึ้นมากระทันหัน (แต่ก็แค่ช่วงเดียว) เวลาอ่านก็จะแบบ นึกภาพ โอวว น่าสนุกเนอะ (เพ้อฝันว่ะ กลับสู่โลกได้ละ)

แต่ถึงยังไง นิยายก็ยังคงเป็นนิยาย fantasy อนาคต อาจจะมี หรือไม่มี พวกเรื่องเล่าตำนาน อาจมี หรือ อาจไม่มี อย่าไปคิดให้เปลืองสมองซะดีกว่า เพราะที่เราต้องทำ คือปัจจุบัน!!!!!

I need to get down to the earth!!! NOW!

เค้กสุดโปรด ต้องยกให้ "Opéra"

เขียนเรื่องเกี่ยวกับขนมนมเนย ครั้งที่สอง ก็คิดอยู่เหมือนกันว่าอยากจะเขียนอะไรดี
อยู่ดี ๆ ก็ปิ๊งงงงงงงง ไอเดียขึ้นมาว่า อยากกินโอเปร่าอ่ะ...
เค้กชนิดนี้ ส่วนตัวแล้ว "ชอบที่สุด" This is my all time favourite cake!!

หลายคนชอบบบบบบบบ โอเปร่า ล่ะเส่ะ แต่หลายคนอาจจะแบบ เค้กไรอ่ะ? ไม่เห็นรู้จักเลยอ่ะ?
แต่รับรองค่ะว่า ถ้าให้ดูรูป ทุกคน "อ๋ออออออ" แน่นอน
แต่แต๊นนนน




(หน้าเละนิดนึง เนื่องจาก อันนี้ทำครั้งแรกค่ะ)

ว่าด้วยเค้กโอเปร่า มีหลายรูปแบบเหลือเกิ้น จะเป็นโดม จะเป็นชิ้น เป็นได้ในทุกรูปแบบ แต่ทุกรูป ยังไง๊ ยังไง ก็ต้องประกอบด้วยส่วนประกอบหลักดังนี้ Joconde biscuit, chocolate ganache, coffee buttercream, coffee syrup, chocolate glaze และอาจจะมีทองคำเปลวตกแต่งหน้าอีกนิดโหน่ย



เรามาดูแต่ละชั้นกันดีกว่า ว่ามันคืออะไร
1. Joconde biscuit บิสกิต? อ่ะ ม่ายช่ายยยย ตอนแรกก็เข้าใจว่าแบบนั้นเหมือนกันค่ะ แต่เนื่องจากเชฟ เป็นคนฝรั่งเศส เค้าเลยอ่านว่า "โจคองด์ บิสกวี" (พยายามสะกดเป็นไทยให้ได้ดีที่สุดแล้วค่ะ) เป็นเนื้อคล้าย ๆ เค้กเนื้อสปันจ์ (เนื้อฟองน้ำ, เนื้อนิ่ม) แต่เป็นเค้กเนื้ออัลมอนด์ค่ะ จะใช้ส่วนผสมแป้งในเค้กน้อย ไม่เน้นให้ส่วนผสมขึ้นฟูเนื่องจากต้องการทำให้เป็นแผ่นเรียบค่ะ เนื้อจะเป็นลักษณะพอเคี้ยวปุปจะรู้สึกเหมือน ทานถั่วอัลมอนเล็ก ๆๆๆๆๆๆ (อารมณ์มาการอง)

2. Chocolate ganache ไม่มีอะไรมากค่ะ มันคือ ชอคโกแลต ผสมครีมนั่นเอง

3. Coffee buttercream จะว่าด้วยบัตเตอร์ครีมมันก็เรื่องยาวอีกน่ะแหละ บัตเตอร์ครีมทำได้หลายแบบค่ะ ในคราวก่อนที่ปุ๋ยเขียนไป ก็เกี่ยวกับบัตเตอร์ครีม แต่อันนั้นจะเป็นบัตเตอร์ครีมแบบชนิดไม่มีไข่ (ที่บ่นว่าล้างยากกกกส์บรมนั่นแหละ) บัตเตอร์ครีมในสูตรโอเปร่านี้ จะเอาเฉพาะ "ไข่แดง" มาตีให้สีอ่อน แล้วค่อยใส่ ไซรัปที่อยู่ในขณะ soft ball stage (115-120c)* แล้วถึงจะนำเนยลงไปในส่วนผสมค่ะ แล้วไว้ว่ากันเรื่องบัตเตอร์ครีมแบบอื่น

4. Coffee syrup มันคือน้ำเชื่อมผสมกาแฟค่า

5. Chocolate glaze ชอคโกแลตเคลือบหน้าเค้ก

* = จะเขียนเรื่อง stage ของน้ำตาลไว้แยกอีกทีนะคะ 

โดยส่วนตัวปุ๋ยแล้ว แค่นี้ก็อร่อยแล้วค่ะ แต่หลัง ๆ มานี่ ขอเหอะ ด้วยความที่เป็นคนชอบทาน "ฐาน" ชีสเค้กมากที่กรอบ ๆ เลยแต่จะเอาคุกกี้มาบดแล้วกด ๆ ก็ไม่ใช่ เลยทำเวเฟอร์ มารองข้างล่างโอเปร่าอีกทีค่ะ คำเดวฟินเฟร่ออออออว์

ประวัติของโอเปร่า พยายามหาหลายที่นะคะ แต่ไม่เจออะไรที่เป็นแน่นอนเลย แต่ตอนเรียน เชฟเล่าว่า ตอนนั้น ประธานาธิบดีของอเมริกา จะเยือนฝรั่งเศส และด้วยความที่ฝรั่งเศสขึ้นชื่อเรื่องขนม เลยคิดขนมชิ้นนี้ขึ้นมา เพื่อเสิร์ฟขณะดู "โอเปร่า" และด้วยความที่ตอนนั้นฝรั่งเศสต้องการกู้เงินจากอเมริกาเลยเอาใจพิเศษ แต่รู้มั้ยคะ อเมริตอบว่าอะไร.........​"ไม่"............... (เชฟเป็นคนอังกฤษ อาจจะมีการบิดเบือนเรื่องเล็กน้อย) โดยส่วนตัวแล้วคิดว่า มันน่าจะมีที่มามากกว่านี้ป่ะะะ แต่ก็เอาเถอะ มันอร่อยหนิหน่า

เหมาะสำหรับคนที่เลือกไม่ถูก ระหว่าง โอ้ย ฉันจะเอาเค้กกาแฟดี หรือ เค้กชอคโกแลตดีเนี่ย???
คุณได้ทั้งสองอย่างในเค้กชนิดนี้ค่ะ ชอบตรงที่ เวลาใช้ส้อมจิ้มเค้ก จิ้มเค้กจากด้านบน ลงไปถึงฐานปุป เอาเข้าปาก แล้วจะได้รสชาติทุกอย่างของตัวเค้กทั้งหมด โดยที่ไม่ต้องนั่งเลือก ว่าจะเอาตรงไหนดีน้ออ

ใครที่ยังไม่เคยลองทาน ไปหาลองทานกันได้นะคะ xoxo


(cr. รูปจากหนังสือคุณ Pierre Hermé) 


Frankly, I really really really miss this place. this place we used to hang out during the break, after classes or even before classes, this place we used to gather into a big group and buy drinks for each others, got drunk and laughed out loud, this place we used to hang out til 10pm. i can remember every single details of this place... in this place. if i turn back and walk straight. it's british museum.... what so ever, still really really miss that time


รองเท้ากัดดดดดเค้าาาา!!!!!


เชื่อว่าทุกคนคงประสบพบเจอปัญหานี้มา ไม่ต่ำกว่า 5 รอบแน่ๆ ในชีวิตนี้ มันคือปัญหาระดับโลก!!

"รองเท้ากัด"

ส้นเท้าแหกกันไปเป็นอาทิตย์ๆ ไอตอนใส่แล้วกัดแล้วต้องเดินก็ว่าทรมานแล้วนะ แต่อย่าพูดถึงตอนอาบน้ำเลยค่ะ มัน more than anything!!!!

Tips: เคล็ดลับง่าย ๆ ของปุ๋ยไว้ตอนเป็นแผลรองเท้ากัด เวลาโดนน้ำแล้วมันเป็นความรู้สึกที่ยากจะบรรยาย ใช่มั้ยล่ะคะ ... แสบถึงกระดูก วิธีทำให้ความแสบนั้นลดน้อยลงมาก ๆ ก็คือ เอาฝ่ามือปิดแผลเอาไว้ก่อน ปล่อยให้น้ำไหลไป แล้วค่อย ๆ คลายมือออกจากแผลค่ะ จะลดความแสบลงไปได้เยอะทีเดียว ^ ^

มาว่ากันต่อที่ ปัญหาระดับโลก "รองเท้ากัด"
อุตส่าห์ใส่รองเท้าคู่ใหม่เอี่ยม สวยสง่าออกมาจากบ้าน แต่ดั้นนนนนนนน รองเท้ากัด ทำยังไงล่ะทีนี้ จะเปลี่ยนรองเท้าก็ไม่ได้ หลายท่านคงจะเลือกเข้าร้านสะดวกซื้อ และซื้อพลาสเตอร์มาปิดแผล แต่ปิดตรงนั้นปุ้ป มันดันกัดไอส่วนที่ไม่โดนปิด!!!! เอ้อะ!! เดินก็เสียบุคลิก กะเผลก ๆ ไม่สวยเลย 

วิธีแก้ปัญหาเฉพาะหน้าของปุ๋ยมีหลายวิธีค่ะ
1. พลาสเตอร์นั่นแหล่ะ แปะหลายชั้นหน่อย
2. ถ้าหาพลาสเตอร์ไม่ได้ เข้าห้องน้ำเลยค่ะ กระดาษทิชชู่ค่ะ ทบหนา ๆ (แต่ควรระวังเวลาเดินนะคะ เพราะทิชชู่อาจจะปลิวตามทางได้)
3. พยายามดึงรองเท้า (แน่นอน ในกรณีรองเท้าไม่แพง)
4. อันนี้เวิร์คสุดค่ะ แต่ยาก และ time and money consuming "ซื้อรองเท้าเปลี่ยน" 

ปุ๋ยเคยถูกรองเท้ากัดครั้งนึง ที่ลอนดอนเป็นครั้งเดียวที่ลืมไม่ลงเลย เพราะถูกกัดโดยรองเท้าที่ต้องไปดั้นด้น ค้นหามา และมันก็มาย้อนทำร้ายปุ๋ย T^T แต่งตัวซะสวย เดินกะเผลก จะแอ๊บเดินสวยก็ไม่ไหวจะเคลียร์ และวันนั้น ปุ๋ยทำหมดทุกวิถีทาง ที่จะทำให้ฉันเดินสวยในรองเท้าคู่นี้ให้ได้! 
พอรู้ตัวว่ารองเท้ากัดปุป อันดับแรก ห้องน้ำค่ะ เนื่องจากใกล้ตัว กระดาษทิชชู่ก่อนเล้ยย ละพอมีเวลาก็เข้าร้านสะดวกซื้อเพื่อไปซื้อ ยัยนี่


จะเป็นพลาสเตอร์ซึ่งหนาหน่อย ไว้สำหรับคนที่ "โดนกัดแล้ว" มาแก้ปัญหาที่ปลายเหตุก่อน และก็ต้องรักษาส้นเท้าเราให้ไวที่สุด ตาเหลือบไปเหลือบมาเจอนี่ค่ะ 

พลาสเตอร์แบบฉีด (ไม่รู้ว่าเราบ้านนอกหรือยังไงนะ แต่พึ่งเคยเห็นจริง ๆ ณ เวลานั้น) กลับห้องมา ล้างแผลให้เรียบร้อย ทายา และฉีดสเปรย์ (แต่จริงๆ แปะพลาสเตอร์เอาก็ได้อะ เหมือนกันค่ะ)

ทีนี้เรามาแก้ปัญหาที่ต้นเหตุกันเถอะ
สำหรับคนที่ยัง "ไม่โดนกัด" นะคะ หรือกัดบ้าง แต่ไม่เจ็บมาก และยังไม่เหวอะมากซะทีเดียว ก็คงจะทุเลาอาการลงได้ 

ใช้ตัวนี้ค่ะ !

ไม่ชัวเลยว่าเมืองไทยมีรึเปล่า แต่ถ้าไม่มี ก็อย่าได้แคร์ค่ะ เชิดใส่
วิธีเลือกมีหลายอย่างค่ะ
1 เทียนไข - เอามาถูกับขอบรองเท้าที่กัดค่ะ จะช่วยให้ลื่นขึ้น
2 ปิโตรเลียมเจลลี่ - ก็วาสลีนนั่นแหละ ทาบาง ๆ จะช่วยให้เดินสะดวกขึ้นเยอะเลย
อ่าว... ละถ้าไม่มีวาสลีนอะ? ลิปมันมีมั้ยคะ? ถ้ามี อย่าพึ่งงงงง!!!! พยายามควักแยกออกมาต่างหากดีกว่าค่ะ อย่าเอานิ้วจิ้มละทารองเท้าเสร็จปุ้ปจิ้มลงกระปุกลิปต่อนะ 555555555555555

ปล ความเชื่อส่วนบุคคล "กัดรองเท้าก่อน" อันนี้ปุ๋ยก็เฉยๆ นะ ความจริงก็ไม่ได้เชื่อเท่าไหร่ แต่ปุ๋ยเคยเห็นอาม่าทำแหะ เป็นรองเท้าใหม่เอี่ยมอ่อง เหมิอนกับแค่ จิกฟันลงไปเป็นเสร็จพิธี....

ลากันไปด้วย นางสวยแสนแสบที่ทำเท้า ปุกกะปุ๋ยแหก ทนหนาวเพราะใส่รองเท้าหุ้มส้นไม่ได้ (โดนอะไรไม่ได้เลย แม้กระทั่งถุงน่อง) ไป 2 อาทิตย์ค่ะ 



We love RED lips!


ปากแดงงงงงงงงงงงงงงงง
เดี๋ยวนี้ใครว่า ทาปากแดงแล้วต้องอายุเยอะ มันไม่ใช่แล้ว!! สีแดงแสดงถึงความมั่นใจในตัวเอง เซกซี่ เร่าร้อน ... เอ่อะ ไปกันใหญ่ละ

สารภาพตามตรงว่า ไม่เคยคิดจะทาปากแดงค่ะ จนคิดว่าจะไปสมัครแอร์ เลยต้องขอลองซักหน่อย ตอนลองครั้งแรก บอกเลยยยย ว่าไม่เหมาะอย่างแรงงง ฉันและปากแดง มันเป็นเส้นขนาน T^T 
แต่ก็ไม่ยอมแพ้ !!! ทามันเข้าไป ใครว่าฉันไม่เข้ากับสีแดง ไม่จริง ฉันขาว! ฉันทาได้! เพราะฉะนั้น สาว ๆ คนไหน ที่คิดว่าอยากทาลิปสีแดง แต่คิดว่า ไม่ได้อะ มันไม่ขึ้นจริง ๆ..... ไม่จริงค่ะ ถ้ามีความมั่นใจ อะไรก็ทำได้ค่ะ ! มุ่งมั่น !

เกริ่นซะยาวเนอะ มาดูกันดีกว่า ว่าลิปสีแดงที่ปุ๋ยชอบ ๆ มีอันไหนบ้าง


แต่นแต้นนนน..... 4 แท่ง 4 สไตล์ แต่แดงเหมือนกัน


จากรูปซ้ายไล่ไปขวานะคะ
ysl#1>>mac russian red>>limecrime redvelvet>>limecrime carousel gloss cherry

จะเห็นได้ว่า 4 แท่งนี้มีอะไรต่างกัน...
(แต่ให้ตายเถอะ ปุ๋ยลองถามพี่ชายมา "เนี่ยๆ สี่สีนี้อันไหนสวยยย" คำตอบที่ได้มาคือ "สีแดงเหมือนกัน จะเอามาให้ดูทำไม") //ส่ายหัวพร้อมสลัดความคิดนี้ออกไป

จากรูปจะเห็นได้ว่า YSL จะมีเนื้อ satin คือแบบว่า ไม่ใช่ด้านไปเลย ก็คือมีแวว ๆ เล็กน้อย แต่ไม่มาก

MAC russian red เนื้อ matte คือเนื้อด้าน ไม่มีความวาว

Lime Crime Red velvet เนื้อ satin เหมือนกับ YSL แต่ว่า มันแดงแรงกว่า! 

Lime Crime Carousel gloss (ไม่แน่ใจชื่อสี เดี๋ยวต้องดูอีกที) ก็เนื้อ gloss ไปเลย ผสมชิมเมอร์ กึ่งจะกลิตเตอร์ละ (อีกนิด) แวววับได้ใจจริง ๆ ปากมาก่อน 200 เมตรแน่นอนค่าาา

จะทยอยลงรูปปุ๋ยเอง ที่ใช้ลิปแต่ละสีนะคะ เพราะต้องทยอยถ่าย แต่มีสีนึง ที่ใช้ตอนสมัครแอร์ค่ะ คือ YSL (ตอนนั้นก็ว่ามันแดงเจิดดดละนะ แต่ไปๆมาๆ มีเจิดดกว่าา @_@) แต่ไม่ได้แปลว่าไม่สวยนะ ลองดูกันค่ะ



จะพยายามหาโอกาสทา ให้ครบ ละลงให้ชมเร็ว ๆ นี้นะคะ ^ ^*

อะไรอยู่ในกระเป๋า ??

นั่งว่าง ๆ ไม่มีอะไรทำ นึกไปนึกมา เอ้อ เขียนบล้อค topic นี้ดีกว่า

"What's in my bag?"

ปกติแล้วจะเป็นคนไม่ค่อยชอบเปลี่ยนกระเป๋าเท่าไหร่ ยกเว้นแต่ว่า จะออกไปข้างนอก
(พูดอย่างนี้แสดงว่าถือกระเป๋าอยู่ในบ้าน?)
ใช่แล้วค่ะ เนื่องจากปุ๋ยทำงานอยู่ที่บ้าน ก็จะมีกระเป๋า อเนกประสงค์ ซึ่งใส่ทุกอย่างที่จะใส่อยู่หนึ่งใบ ขนาดพอดีพอเหมาะ ยัดทุกอย่างที่อยากจะยัดได้ แต่บางทีออกจากบ้านตอนเย็น ก็ไม่เปลี่ยนกระเป๋านะคะ ไปทั้งอย่างนั้นเลย สะดวกดี ใบนั้นก็คืออออออออออ Longchamp Le Pliage medium สีชมพู... แปร๋น
ซึ่งคิดว่า สภาพตอนนี้ไม่ค่อยน่าดูเท่าไหร่ มันไม่ชมพูเหมือนตอนที่ปุ๋ยจ่ายตังซื้อมันใหม่ ๆ ณ Harrods ตอนลด 10% ประจำปี ~~~ //หน้าตาเพ้อฝันรำลึกความหลัง....

ไม่พูดพร่ำทำเพลงละ มาดูกันเลย Ms. บ้าหอบฟางอย่างปุ๋ย มีอะไรบ้าง ในกระเป๋าโดเรม่อน...


เอ่อะ... 14 รายการใหญ่เนอะ ต้องเรียกแบบนี้
1. กระเป๋าเครื่องสำอาง

2. Chanel Les 4 ombre quadra eye shadow อายแชโดว์กันตายใช้ได้ทุกสถานการณ์

3. ยาดม กอริลล่า ไว้ดมเวลาเจอ แท็กซี่เหม็น.. คนตัวเหม็น... คนจักแร้เหม็น... เพื่อนจะเป็นลม ฯลฯ

4. Benefit Hervana blush บลัชออน ดองไว้ในกระเป๋าน่าจะสองปีได้ละ.... อาทิตย์นึงหยิบมาปัดแทบจะนับครั้งได้ (อย่างที่บอกค่ะ ไม่ค่อยเติมหน้า)

5. Chanel natural finish pressed powder #20 แป้งอัดแข็งไม่ผสมรองพื้น อยู่ในกระเป๋ามาเกือบสามปีละ ไม่พร่องเลย....

6. Fisherman's Friend อร่อยยย หอม สดชื่น

7. iPhone อวัยวะที่ 33 ของร่างกาย

8. หวีไม้ ซี่ห่าง จะให้เล่าก็ หวีนี้ มีประวัตินิดหน่อยค่ะ กว่าจะมาเป็นอันนี้ได้ในปัจจุบันนั้น มันได้มี พี่ ๆ มันก่อนหน้านี้ หน้าตาเหมือนกันมา สองอันถ้วน แต่อีกสองอันก่อนหน้า หักครึ่งทั้งคู่ค่ะ ที่ชอบเพราะ ซี่มันห่างดี พกสะดวกมาก และไม่มีไฟฟ้าสถิตย์ เคยพกแปรงผมไว้ในกระเป๋านะคะ แต่เนื่องจากของในกระเป๋ามัน รุงรังมากมาย วุ่นวือ ไปหมด เลยทำให้ซี่แปรงมันเสียได้ง่าย เลยเอาออกไปค่ะ

9. เห็นไม่ชัด..... แต่มันคือ กระจกค่ะ ขนาดพกพาสะดวก และบานใหญ่ สำหรับคนหน้าใหญ่ค่ะ 555

10. กุญแจลิ้นชักโต๊ะทำงานปุ๋ยเอง จริงๆ กุญแจมันอันนิดเดียวค่ะ แต่แขวนไว้กับ คิตตี้เน่า ๆ หนึ่งตัว ของฝากจากพี่ชายตอนไปญี่ปุ่นค่ะ

11. ฮู้ จากศาลเจ้าพ่อเสือ เพื่อสิริมงคลแก่ชีวิต

12. ปากกา เผื่อฉุกเฉินค่ะ จะจดอะไรยังไง ได้ทันที

13. กระดาษทิชชู่!!

14. ของกันตายรองจาก โทรศัพท์มือถือค่ะ "กระเป๋าสตางค์" ซึ่งเน่ามาก เหมาะแก่เวลาอันควรที่จะเปลี่ยนได้แล้ว ตอนนี้กำลังรอฤกษ์อยู่ค่ะ ^^

ตอนนี้แค่นี้ก่อน เป็นแบบหัวข้อใหญ่ ๆ และเดี๋ยวคราวหน้า จะเอามาลงให้ดูว่าใน "กระเป๋าเครื่องสำอาง" พกอะไรบ้างค่ะ (จากในรูป มันก็ค่อนข้างล้นนะ แต่พกในบ้านเลยไม่ค่อยเครียดเท่าไหร่ ถ้าออกไปข้างนอกจะเป็นอีกใบค่ะ)

เยอะเนอะ ( _  _")


บ่น บ่น บ่น บ่น บ่น....

Monday morning rain is falling...... steal some covers share some skin....
เอ้อ เปลี่ยนเนื้อร้องหน่อยละกัน เพราะวันนี้วันจันทร์ แต่ฝนดันตก และก็ขี้เกียจลุกจากเตียงเอาซะมาก ๆ ด้วย
หลายคนคงต้องฝ่าสายฝนกันไปทำงาน แต่ปุ๋ยคงโชคดีหน่อยตรงที่ว่าทำงานที่บ้าน ไม่ต้องออกไปเปียกฝน
สำหรับคนที่โดนฝนในเช้าวันนี้ รักษาสุขภาพกันด้วยนะค้ะ ดื่มน้ำอุ่นเยอะ ๆ พักผ่อนให้มากค่าา

จริงๆ ก็มีเรื่องอย่างบ่น บ่น บ่น บ่น อย่างที่ว่าใน topic นั่นแหละนะ

สืบเนื่องจากวันก่อน และ หลาย ๆ ครั้ง ที่ปุ๋ยไปนั่งคุยกับ พนักงานที่ร้าน Bi Chalai ที่สยามเซ็นเตอร์มา (ก็ไปเป็นประจำนั่นแหละ) บางทีเค้าก็ขอให้เป็นนางแบบจำเป็นบ้างบางครั้ง และเอาไปลง instagram บ้าง (แต่ล่ำเถอะ บึ้กเชียว)
ก็เป็นที่ทราบกันดีว่า แบรนด์นี้ เป็นแบรนด์ที่ทุกคนชื่นชอบ และมักจะถูกนำไปทำเลียนแบบตลอด ซึ่งทางพนักงานก็บ่น บ่น บ่น บ่น กับปุ๋ยนั่นแหละ ว่าเค้าก็เพลียเหมือนกัน เค้าคิดแบบมาแทบแย่ สุดท้าย มาที่ร้านขอลองทุกชุด แล้วก็ขอไม้แขวนหนึ่งอัน (ไม่รู้เลยมั้งเอาไปทำอะไร) คือจะว่าไปงานตัดเย็บหรือการตั้งราคามันก็เป็นสิทธิ์ขาดของทางร้านว่าจะอยากขายเท่าไหร่ พนักงานก็ชี้แจงว่า อย่างลายปริ้นของทางร้าน สั่งผ้ามาจากนอกและมาปริ้นเองที่เมืองไทย และเนื่องจากว่าผลิตน้อย cost ก็สูง ซึ่งทำให้ต้นทุนก็แพงไปด้วย เลยต้องขายที่ราคาแพง (ซึ่งก็แพงจริง ๆ ตอนแว่บแรก แวะดูร้านนี้ ดูป้ายราคา สตั้นไปสามวิ) แต่ก็ด้วยความที่ชื่นชอบในแบบ และลายก็อุดหนุนนะ จนเป็นลูกค้าประจำ

มามองกันในอีกแง่มุมนึงบ้าง... หลายคนก็อาจจะบอกว่า ก็ราคามันแพง ไม่สมเหตุสมผลเลย ทำไมต้องจ่ายแพงขนาดนั้น ในเมื่อของปลอมก็มี ราคาก็ต่างกันหลายเท่าเลย ฉันใส่คนอื่นก็ดูไม่ออกหรอก หรือว่า บางทีคนซื้อจากร้านอาจจะไม่รู้เลยก็ได้ ว่านี่เป็นแบบที่ copy มาจากแบรนด์ไหน ๆ ก็ตาม หรือบางท่านอาจจะคิดว่า ก็ฉันพอใจจะใส่แบบนี้ ราคาก็เท่านี้ ก้โอเคแล้ว ถึงจะเป็นของเลียนแบบ แล้ว แล้วไงอ่ะ? เฉยๆ ปะ ก็แค่เสื้อผ้า

ในแง่ความคิดปุ๋ยนะ โอเค บางแบรนด์​ราคาไม่สมเหตุผลเลยยยยจริง ๆ ก็มี แบบ ห๊ะ แค่นี้อะนะ เกือบหมื่น (แค่เสื้อ) คือเราไม่ได้เป็นคนผลิต หรือรู้ขั้นตอนว่าเขาต้องผ่านอะไรมาบ้าง ผ้ามาจากไหน ดีไซน์ หรือว่า วัสดุ และช่างเย็บจะจ้างมาแพงยังไง อันนี้ไม่ทราบ แต่พิจารณาจาก โดยรวมแล้ว มันไม่น่าแพงขนาดน้านนนนนนน (อันนี้พูดโดยรวม ๆ นะคะ ไม่ได้เฉพาะเจาะจงแบรนด์ไหนเป็นพิเศษ) อันนี้ก็แล้วแต่ ผู้บริโภค จะต้องการละกันเนอะ
นานาจิตตัง...

เหมือนรูปนี้...

cr. google

จะบอกว่าคนซ้ายผิดเหรอ ก็เปล่าหนิ แล้วคนขวาล่ะ ก็เปล่า ก็ถูกทั้งคู่ แต่ต่างกันแค่มุมมอง...

และบล้อคฉันมันเกี่ยวกับปรัชญาตอนไหนเนี่ย!!!!!!

เปล่าหรอก คือจริง ๆ แล้วก็แค่ เง็งงวย กับร้านที่ลอกแบบไป แล้วแถม แคปจอจากร้านเขาไปโฆษณา และแปะป้ายเป็นร้านตัวเองอีก คือ ก็นะ โอเค แบบเหมือนกันก็ใช่อ่ะ ไหนๆ ก็ก้อปแล้ว ก็หานางแบบถ่ายเองมั้ย? หรือยังไง? (เน้นว่า ความคิดเห็นส่วนตัวอีกทีนะคะ ไม่ได้เฉพาะเจาะจงว่า นี่คือถูกหรือผิด)



รูปต้นแบบ...



รูปจาก ig: bichalaishop >>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>> รูปจากร้านอื่นแล้วแปะยี่ห้อตัวเอง

มาเรื่องแฟชั่นกันมั่ง..




ช่วงนี้หลาย ๆ ยี่ห้อก็ออกคอลเลคชั่น Pre-fall 2014 กันมาเนอะ หลังจากเป็น SS14 (spring/summer 2014) และเดี๋ยวก็จะมี autumn/winter ละ

**จะมีทำไมหลาย ๆ คอลเลคชั่นอ่ะ คือเข้าใจปะ ว่าแบบรายรับมันไม่พอสนองกิเลสอ่ะ!!!!**

เชื่อว่าหลาย ๆ ท่านคงชอบจะมอง แม้จะต้องอดทนต่อกิเลสที่ ถาโถมมมม เข้ามาก็ตาม
ส่วนตัวแล้ว ปุ๋ย จะเป็นโรคจิต เกี่ยวกับยี่ห้อ Chanel เป็นพิเศษ เหมือนมันมีแรงดึงดูด..... แม้โอกาสที่จะซื้อทีนึงนั้นมันยากแสนยาก..

บนทางเดินแห่งความฝันนี้....อาจไม่มีพรมแดงปูทาง อุปสรรคขวากหนามมากมายเหลือเกินน~~...

เค้าสารภาพว่าเค้าปลื้มมมมมมมมปริ่มกับ Chanel Cruise collection 14/15 มากเป็นพิเศษ ตั้งแต่ดู fashion show ใน youtube แล้ว (ก้มหน้าสารภาพผิด)
แฟชั่นโชว์จะโชว์ก่อน หลังจากนั้นซักพักใหญ่ ๆ ถึงจะเข้าที่ boutiques อย่าง ครูซคอลเลคชั่นที่จะเข้านี้ จะเข้าประมาณเดือน... พฤศจิกายน แต่แฟชั่นโชว์เดินไปตั้งแต่ ปู้นนนนน 13 พฤษภาคม จัดที่ Dubai
แต่ที่จะเข้าเดือนหน้านี้จะเป็น autumn/winter 2014/15 ที่แฟชั่นโชว์ดังมากกกกกกก ที่เค้าจัดให้เป็น Chanel Supermarket อ้ะ!! จัดที่ Grands Palais แล้วพอนางแบบเดินเสร็จ แล้วทุกคนสามารถหยิบของทุกชิ้นได้ในนั้น ซึ่งทุกอย่าง ไม้จิ้มฟันยันเรือรบ เป็นยี่ห้อ Chanel.....  //นั่งทำหน้าตายอยู่หน้าจอคอมฯ

Cruise Collection จะให้อารมณ์ประมาณ คนสังคมชั้นสูงแบบว่า หนีหนาว ล่องเรืออ่ะคร่ะ ก็ชิล ๆ

ชิลไปกลุ่มนึง แต่สำหรับปุ๋ย ไม่ชิลด้วยค่ะ เพราะ ไปถูกตาต้องใจหลาย items อยุ่เหมือนกัน ไม่ว่าจะเป็น กระเป๋าวิ้งวับ!! เลกกิ้งสวยงามมมม และที่สำคัญที่สุดดดดด My little black jacket T^T  โอกาสที่จะได้คงอีกยาวนานนักก.....

ในเมื่อฝันไกล ก็ต้องพยายามไปให้ถึงค่ะ ไม่ว่าตะต้องข้ามภูเขากี่ลูกก็ตาม!!!!!


cr. Photos from Google.

Review "Mistine Lip Joops"

เรียกได้ว่าก็เรียกกระแสได้ดีเหมือนกันนะ สำหรับมิสทีนลิปจู้บบส์ อันนี้ เอ้ะ แต่ รูปร่างหน้าตามันคุ้นๆนะ ว่าแมะ

OCC Lip Tar!!!!!!!!! 

แทบจะเหมือนเลยก็ว่าได้นะ แต่ colour range ต่างกัน เพราะของ OCC มีตั้งแต่สีคนปกติทา ถึงคนไม่ปกติทา (- -") หมายถึง แฟชั่นจัดจ่ะ เช่น ทาปากสีเหลือง หรือ ฟ้า ท่านๆ คงไม่สามารถเดินห้างอย่างปกติไดั เพราะยังไงก็ต้องมีคนมอง "ปาก" ณัชชาชัด ๆ นะค๊ะะ และด้วยราคาที่ต่างกันพอสมควรเลยทีเดียว แล้วดิฉันจะคิดอีกทำไม ฟาดมา 2 .....

อะ ตอนนี้ รีวิว เบา ๆ กันดีกว่า


หน้าตาเป็นเช่นนี้ ซื้อมาเล่น สองหลอด สนน ราคาที่หลอดละ 80 บาท (จริงๆมัน 89 แต่คนขายลดให้) และเราก็ไม่รีรอที่จะ ผสมสี!!!! เนื่องจาก โฆษณานีด ว่า โอ้โหวว ผสมได้ถึง สามหมื่นกว่าสี (ไอสีที่ 28792 กับ 28793 มันคงแยกกันไม่ค่อยออกเท่าไหร่) 
ที่ได้มาคือ No.3 and No.8 



จุดข้างบนคือสีเดี่ยวๆ และที่ผสมกันแล้วคืออันกลางใหญ่ๆ ก็จะได้ สีแดงอมส้มแอ๊บชมพู นิดๆ 
ไฮไลท์!!!! *****กลิ่น น่ากินมากกกกกกกก*****
เหมือนน้ำแดงเฮลล์.... ไม่มีผิดเพี้ยน เอ่อะ ว่าแล้ว "พี่คะ แดงโซดามะนาวแก้วนึงค่ะ"




 ปล. วันปกติอยู่บ้าน จะไม่แต่งตาและไม่รองพื้น ที่ใช้ก็คือ concealer ใต้ตา และ .... แป้งเด็ก ใช่แล้ววว แป้งเด็กนั่นเองงงงง!!! บลัชออนปัดแบบโฉบๆ พอไม่ให้หน้าซิ่ด ละที่ขาดไม่ได้ คือการเขียนคิ้ว!!!!! 
//เชิดใส่คนมีคิ้ว คนมีคิ้วไม่เข้าใจหรอก ว่ามันสำคัญกะชีวิตประจำวันขนาดไหนน...​ฮือ ๆ ๆ

เพิ่มเติมอีกนิดนึง ไม่ว่าคุณจะใช้ OCC / Mistine มันเป็นลิปที่ติดทนนานมาก ไม่มีวันเลือนหายไปง่าย ๆ ถึงแม้เวลาดื่มน้ำ กินข้าว ลิปสติกปกติจะหายไป แต่คุณเธอทั้งสอง ไม่เป็นอย่างที่คิด เธอทั้งสองยังอยู่บนปาก แม้จะเลือนลางไปบ้าง แถมตะกี้ล้างมือ ที่บีบสีให้ดู (ด้วยน้ำเปล่าเฉย ๆ) เอามือถู ๆ มันไม่ออกง่ะ แต่ก็ดีนะ ทน ๆ ไปเลยยยย เป็นพวกขี้เกียจเติมอยู่ละ ;p




REVIEW "มหากาพย์" รองพื้น,BB,Base,Highlight เท่าที่พอจะหยิบได้ในกรุ ณ ตอนนี้


เป็นการรีวิวเครื่องสำอางครั้งแรกของเราสินะ.....จริงๆก็ไม่หรอก เคยทำเมื่อนานมาแล้ว แต่เนื่องจากเป็นคนที่นิสัยแบบ โอ๋ยยย ขี้เกียจจจจจง่ะ!!! และตอนยังวัยเยาว์ (ก็ไม่ได้ถือว่าแก่นะตอนนี้) ติดคอมพิวเตอร์มากก อยู่ในท่าเดิม ๆ จน เป็นพังผืดที่บ่าสองข้าง ทำให้ ปวดต้นคออยู่ตลอดเวลา เปรียบเสมือน หนังเรื่องชัตเตอร์ หนักเหมือนมีใครมาขี่คอ..... เอ้อ เข้าเรื่องดีกว่าเนอะเรา

รูปหมู่
อาจจะมองไม่เห็นทุกตัว แต่เดี๋ยวจะมีรูปแยกให้ดู จะไม่ขอรีวิวแยกเป็นประเภทนะคะ เพราะหนูสับสนค่ะ เดี๋ยวตัวนั้น กึ่งๆ เป็นตัวนี้ เดี๋ยวอันนี้ เป็นอันนั้น เลยจะขอรีวิวแบบ เรียงลำดับตามใจฉันค่ะ


หมายเหตุ
* ของที่รีวิวเป็นทรัพย์สมบัติของปุ๋ยเองทั้งหมด ได้มาด้วยความหน้ามืด (ไม่ควรเอาอย่าง)
* ปุ๋ยมีสภาพผิวผสม ที่ค่อนไปทางแห้ง แต่จะมันนิดหน่อยช่วงจมูกเท่านั้น มันไม่ใช่ T-zone อะ มันแค่จมูก 5555555
* โดยนิสัยแล้วเป็นคนที่ไม่ค่อยเติมแป้ง มาสคาร่า บลัชออน หรือสิ่งใด ๆ นอกจาก ลิประหว่างวัน จะเติมก็คือน้อยมาก ๆ หรือนาน ๆ ทีนึง แต่ลิป ต้องพกค่ะ
* การรีวิวนี้เป็นเหมือนแค่ความคิดเห็นส่วนตัวของปุ๋ยนะคะ ผลิตภัณฑ์ที่ใช้ อาจจะมีผลลัพธ์ที่ต่างกัน ขึ้นอยู่กับสภาพผิวของแต่ละคน ก็เหมือนอาหาร หนึ่งมือ พันชิม ใครจะว่าอร่อยได้ทั้งหมดล่ะจริงม่ะ?
* ไม่ใส่เครดิตที่รูปนะคะ ใครอยากเซฟ ทำได้เลยค่ะ แต่ถ้าเอาไปเพื่อการค้าขายล่ะก็... ขอแบ่งเปอร์เซ็นต์ก็ดีนะ แหะ ๆ
* สำหรับข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับของรีวิว อยู่ในบล้อคปุ๋ยค่ะ puiroza.blogspot.com
* ผิดพลาดประการใด ขออภัยล่วงหน้าค่ะ

Ok..... Let's start!!!
ขอรีวิวไปทีละ ห้าตัวนะคะ เพราะทั้งหมดมี 21 รายการ จะแยกเป็น 5, 5, 5, 5, 6 เริ่มแรก..



ไล่จากซ้ายไปขวา แล้วค่อยมาข้างหน้า แล้วก็ค่อยวกไปข้างหลังอีกที... (= =") อย่างงไปค่ะ มีชื่อให้ครบถ้วน สามารถใช้ google หาภาพเพิ่มเติมได้ค่ะ


((ไม่ต้องชมกันค่ะ รู้ตัว ขอบคุณนะคะ... ^^" แขนใหญ่ใช่มั้ยคะ 555555)) 

จากซ้ายไปขวา ที่แขนปุ๋ย
1. Giorgio Armani luminessence bb fluid SPF50/PA+++ จากรูปจะเห็นได้ว่า มันเนียนไปกับผิวเลย ให้ความสว่าง ทำให้หน้าดูไบร้ท์ขึ้น แต่ไม่ช่วยปกปิด ปุ๋ยมักจะชอบใช้ตัวนี้เดี่ยว ๆ หรือ ทาเป็นเบสแล้วทับด้วยตัวอื่นค่ะ เหมาะสำหรับวันที่ เบา เบา.... ไม่อยากหน้าหนัก แต่ถ้าใครที่ชอบ หน้าแน่น จัดเต็มตลอดเวย์ ก็ ไม่แนะนำตัวนี้ค่ะ

2. MAC Prep+Prime fortified skin enhancer SPF35/PA+++ (Pink) อยากจะใช้เดี่ยว ๆ เพื่อเป็นเบส ก็...ก็... พอได้ค่ะ แต่หน้าคงเด่นลอย ตั้งแต่ 200 เมตรจากคนที่มอง แต่ถ้าใช้เป็นเบสไฮไลท์ตามโหนกแก้ม สันจมูก หน้าผาก ก็จะดูเวิร์คนะ ถ้าอยากทั้งหน้าแนะนำให้ผสมกับเบสตัวอื่น เพื่อทำให้หน้าสว่างขึ้น ส่วนตัวแล้วชอบ mix กับ mac strobe cream ค่ะ สีชมพูทำให้หน้าดูสว่างใส ไบร้ท์แบ๊วขึ้น เช่นเดียวกับเบสม่วง ส่วน เบสเขียวช่วยเรื่องปรับลดรอยแดง เนื้อครีมเนียนค่ะ

3. MAC studio moisture tint SPF15 - Light จากรูปจะเห็นได้ว่า มันเนียนไปกับผิวเช่นเดียวกับตัวแรก ไม่ได้ให้การปกปิด เพราะมันเหมือนไม่ได้ทาอะไรเลยนั่นเอง!! เพียงแต่ปรับสภาพผิวให้ดูเนียนขึ้น ไบร้ท์ขึ้น เทคนิคส่วนตัว สำหรับเวลาใช้ตัวนี้คือ แต้มบนหน้า แล้วลูบให้น้อยที่สุด (เพราะโดยปกติที่เคยเห็น จะถูวนๆ) แต่เนื่องจากเคยลองถูวนๆ แล้วพบว่า มันหายไปเลย หายไปไหนไม่รู้ เนื้อครีม อันตรธานหายไป อย่างไร้ร่องรอย หน้าก็สภาพเดิม ...ซะงั้น อีกเทคนิคนึงคือ ตบเบาๆ ให้ทั่วหน้าค่ะ


To be continued...... ปวดคออออออ
..
.
.
มาแระ (อีกหนึ่งวันถัดไป)
4. MAC Strobe cream จริงๆอันนี้กึ่งมอยซ์เจอร์ กึ่งเบสนะ แต่ค่อนไปทางม้อยซ์เจอร์ซะมากกว่า เพราะนอกจากจะให้ความชุ่มชื่นแล้ว ยังให้หน้าดูโกล์วๆ อีกด้วย ส่วนกลิ่น.. มันก็หอมนะ แต่ว่า ส่วนตัวแล้วคิดว่าแรงไปหน่อย เพราะได้กลิ่นอยู่ที่หน้าทั้งงวันเลย แต่ก็ชอบใช้นะ ไว้ทาในวันที่อยากจะสบาย ๆ คู่กับ studio moisture tint SPF15 (หมายเลข 3)

5. Etude Precious mineral BB all day strong - SPF30/PA++ ชื่อนางจริงๆ ก็ว่าเป็น บีบีนะ แต่ว่า คุณภาพเริ่ดกว่า บีบี ทั่วไปสมชื่อเลยว่า all day strong!!! เพราะเธอทนมากกกค่ะ แต่ถามว่า คุมมันไหม? ต้องกล่าวก่อนว่า ตัวนี้ปุ๋ยจะใช้ผสมคู่กับ Nymph aura (Etude) ที่ออกมาคู่กัน เพื่อให้ดูผิวฉ่ำ ๆ วาว ๆ เพราะฉะนั้น.... เรื่องคุมมัน ก็ตามนั้นนะคะ อยากจะได้งานผิวแต่ว่าจะเอาโกล์วแบบไม่มันทั้งวัน มันเป็นไปไม่ได้!!! (มันเป็นความจริงอันน่าเจ็บปวดค่ะ แต่ต้องยอมรับว่ามันจริงง!!) ตอนนี้รู้สึกทางอีทูดี้จะเปลี่ยนแพคเกจใหม่เป็นประมาณ Princess... อะไรซักอย่าง แต่ยังคงคอนเซปเดิมคือ มีคำว่า "จินจู" ภาษาเกาหลีซึ่งแปลว่า "ไข่มุก" ค่ะ


จบ Part I ... continue in Part II...


จากซ้ายไปขวาเช่นเดิมนะคะ 
6. Etude face conditioning cream -SPF25/PA++ ยอมรับค่ะ ว่าซื้อมาแล้ว ได้ใช้แค่ครั้งเดียว... เพราะเนื้อมันข้นมาก ถ้าอยากใช้ต้องผสมกับตัวอื่นให้เนื้อเบาลงเช่น mac strobe cream or etude choux base หรือ ตัวอื่นๆ ที่อยากจะทา เหมาะกับคนที่มีผิวแห้ง แต่งหน้าแล้วชอบเป็นขุยๆ ค่ะ

7. Laura Mercier foundation primer (oil free) โดยส่วนตัวแล้ว ตัวนี้ใช้แล้วเหมือนไม่ได้มีอะไรเกิดขึ้น เพราะมันเฉยมาก ไม่ได้รู้สึกว่าใช้แล้วพิเศษอะไร ไม่ได้คุมมัน ไม่ได้ทำให้หน้าดูโกล์ว หรือว่าดูใสขึ้นแต่อย่างใด ส่วนกลิ่น อืมม.. แปลกๆ แต่ก็ไม่ใช่ว่าถึงขั้นฉุนค่ะ

8. Chanel Les beiges all-in-one healthy glow cream SPF30/PA+++ No.10 ที่เห็นได้ชัดตั้งแต่การปาดครั้งแรกคือ หน้าใส สว่างขึ้น อย่างชัดเจน แต่ติดที่ว่า ต้องลงให้ไวค่ะ เพราะเนื้อครีมแห้งไวมาก สังเกตได้จากแขนปุ๋ย อันกลาง พอปาดปุ้ปป เนื้อดูเนียนไปกับแขนเลย คือมันแห้งไวมากค่ะ ผิดกับเพื่อนข้าง ๆ ซึ่งยังดู พอเกลี่ยได้อยู่บ้าง ตัวนี้ติดทนนาน แต่ไม่ได้คุมมันมาก หรือให้การปกปิดที่ชัดเจนอย่างใด แต่เรื่องปกปิด เราก็ยกให้เป็นหน้าที่ของ concealer เถิด..

9. Etude Choux base SPF25/PA++ No.2 Berry choux หน้าที่เหมือน MAC Prep+Prime ข้างต้นที่รีวิวเอาไว้ แต่เนื้อครีมแตกต่างกัน ตัวนี้ เนื้อจะมีเกล็ด ๆ (????? มันคืออะไร ใครช่วยบอก!!!)  หรือว่าเนื้อครีมไม่ละเอียดนั่นเอง 

10. Etude Nymph aura no.2 ปุ๋ยไม่แน่ใจ ว่าตัวนี้ยังมีขายอยู่รึเปล่า ว่าแล้วเช็คแปป..... โอ้วไม่นะ ในเวปไซต์ของเกาหลี ไม่มีขายแล้วค่ะ แสดงว่า product discontinued....  เป็นที่น่าเสียดาย แต่ว่าเราหาตัวอื่นมาแทนกันได้ ไม่มีปัญหา คือตัวนี้ ทาเดี่ยวๆ ก็เป็นไฮไลท์ได้เลยทีเดียว แต่ถ้าใช้ผสมกับตัว Precious mineral bb ข้างต้นแล้ว... พบว่า โกล์วเฟร่ออออออ (โกล์วเว่อร์) ได้ลุคดิวอี้ เกาหลีสมใจค่ะ



อันนี้น่าจะเรียกจากล่างขึ้นบนมากกว่า ซ้ายไปขวาเนอะ ^^

11. Nars Illuminator - Copacabana เป็นไฮไลท์เนื้อครีมที่เลิศเลอมาก เธอวิ้งวับได้สมใจจริง ๆ (ตัวนี้แหละ สามารถใช้แทน etude ข้างต้นได้ แต่ว่า คงต้องเบามือกันหน่อย เพราะอันนี้ ชิมเมอร์ถี่กว่ามาก สังเกตได้จากแขนปุ๋ยนะคะ นี่ขนาดไม่ได้ ขยับไปขยับมา เอาเป็นว่าเกทนะ... LOVE IT!!

12. Lancôme Éclat miracle universal radiance booster ก็เป็นไฮไลท์อีกตัวนึง แต่แค่ เบา เบา เปรียบเทียบได้จากแขนปุ๋ย กับ ตัวnars ข้างซ้าย ก็เหมาะสำหรับไฮไลท์กลางวัน ไปทำงาน ไม่ได้อยากวิ้งวับมากกก เอาแบบเงาๆ พองาม

13. Dior Air flash spray foundation No.200 (รูปขวดอยู่รูปถัดไป) โอ้วคุณเธอ มันเป็นรองพื้นที่คิดว่า ไม่เคยเสียใจที่ซื้อมาเลย เพราะนอกจากมันจะสะดวกแล้ว มันให้ความปกปิดที่ เนียนมากก (Medium Coverage) และสามารถพ่นทับเพิ่มได้ ถ้ายังไม่พอใจ (Buildable) สีที่ปุ๋ยซื้อมานี่ เป็นสีแบบอมชมพูด้วย เลยชอบมากเป็นพิเศษค่า เหมาะมากสำหรับคนที่ "เร่งรีบ" ไม่ว่าจะเป็น อุ่ยย นาฬิกาปลุกไม่ดังอ่ะ (แต่เปล่า จริงๆอ่ะ มันปลุกแล้ว แต่เป็นคนกดทิ้งไปเองแบบไม่รู้ตัว...) คือแค่ พ่น พ่น เกลี่ย ๆ เป็นอันเสร็จพิธี ตอนพ่นก็ อย่าลืมเม้มปากค่ะ เพราะไม่งั้น ท่านจะได้ lip concealer แถมไปด้วย
หลายคนถามว่า เอ้า และผมข้างๆ หน้าล่ะ  พ่นแล้วรองพื้นไม่ติดเหรอ คำตอบคือ ไม่เป็นค่ะ ไม่รู้ทำไม แต่มันไม่เป็นค่ะ แต่โดยเทคนิคส่วนตัวแล้ว จะพ่นกลางหน้า เกลี่ย เสร็จแล้ว พ่นลงมือ แล้วค่อยจากมือ แตะลงที่หน้าค่ะ 

14. MAC face and body foundation - C2 (รูปขวดอยู่รูปถัดไป) **MY FAVOURITE** เป็นรองพื้นที่เวลาไม่รู้จะใช้อันไหนดี ก็อันนี้แหละ หยิบมาใช้ เพราะเนื่องด้วยเนื้อที่เกลี่ยง่าย จริง ๆ แล้วอย่าใช้คำว่า"เกลี่ย" จะดีกว่า เพราะ ปุ๋ยใช้ "ตบ" เอาค่าาา ดัง แปะ ๆ ๆ ๆ  (ได้เทคนิคนี้มาจาก คุณ Mary Greenwell เมคอัพอาร์ตติสระดับโลก นางพูดว่ารองพื้นอันนี้คือ the best foundation และใครอยากดูเทคนิคการตบรองพื้นของนาง สามารถหาดูได้ในยูทูปนะคะ) 
ปล. นางตบแบบ หัวนางแบบ เอนไปข้างซ้ายที ขวาที คือเป็นวิธีการลงรองพื้นที่ ฮาร์ดคอร์ที่สุดที่เคยเจอ 5555

(Review อันนี้ ใช้เวลาคาบผ่าน สามวันในการเขียน เหนื่อยจริงไรจริงค่ะ แต่ชอบบ)

15. Chanel vitalumiere satin smoothing SPF15 No.20 Clair (รูปขวดอยู่ในรูปถัดไป) เป็นรองพื้นที่ไม่แนะนำสำหรับคนผิวหน้ามัน เพราะ finishing มันจะแนวออก ซาติน คือ ไม่ด้านซะทีเดียว ก็เงาบ้างเล็กน้อย คือผิวจะดูฉ่ำ ๆ ส่วนตัวแล้วไม่ชอบใช้ แต่ไม่ใช่เพราะมันไม่ดีนะคะ คนขาย แนะนำสีนี้ แต่สีมันเข้มกว่าผิวหน้าปุ๋ยไปอ่ะ ทาแล้วหน้าดรอป แต่แก้ปัญหาได้ด้วยเอารองพื้นสีที่ขาวกว่า มาผสมกันค่ะ ก็ต้องโทษตัวเองด้วย ที่สะเพร่าเอง คนขายบอกอันนี้ก็อันนี้ เพราะด้วยความหน้ามืด (ตอนนั้นอยู่ลอนดอนนะ เดินผ่านแล้วเห็นว่า หึยย ซะหน่อย...เพราะฉะนั้น "มีสตินะคะ") 




16. Estee Lauder invisible fluis makeup #1CN1 เป็นรองพื้นที่เรียกว่า Light to medium coverage คือปกปิดได้ พอสมควรเลยแล้วมัน buildable ได้ด้วย คือประมาณว่าไม่พอใจว่าปกปิดไม่พอ ก็เพิ่มทับลงไปอีกได้ คุมมันได้ สามชั่วโมงเช้า 555555 แต่โดยรวม ดีค่ะ แต่ก่อนใช้ คงต้องออกกำลังกายแขนกันซักพัก (อาจจะเพราะด้วยความที่ไม่ค่อยได้ใช้ด้วย) เขย่ากันไป..... 

17. Giorgio Armani luminous silk foundation #2 เลิศนะ คุมมันดี อะไรดีจริงดีจังอ่ะ (ยกเว้นราคา) เหมาะสำหรับคนผิวมันเพราะเวลาเซตตัวแล้ว เนื้อจะแมต แห้งไว แต่เกลี่ยไม่ยากมาก ก็พอได้ แต่ส่วนตัวแล้วชอบใช้ ตัวนี้ คู่กับ etude precious mineral bb เนื่องจากตัวนี้ เนื้อมันแมท เกินไปหน่อย เป็นความชอบส่วนตัวค่ะ

18. Make up forever HD foundation #N110 ติดทนนานเว่อร์ หลาย ๆ คนคิดว่า รองพื้นตัวนี้ปกปิดได้ทุกรูขุมขน แต่จริง ๆ เขาเป็นรองพื้นชนิด medium coverage นะคะ ไม่ถึงกับ full คือปกปิดได้ดี และปลอดภัยเวลาเข้ากล้องแบบ high-def 555555555 คุมมันได้ดีค่ะ ถือว่าเป็นรองพื้นที่จะหยิบมาใช้เวลาออกงานก็ว่าได้

19. Lotree Primer tinted control base SPF21 คือไม่เข้าใจว่าจะบอกว่า primer tinted แล้วจะมีคำว่า base ทำไม เพราะ จริงๆแล้ว ก็บอกไปเลยว่า all-in-one คือ คำว่าหลอดเดียวอยู่ค่ะ แล้วก็พูดจริง ๆ ว่าปกปิดได้ดีกว่ารองพื้นบางตัวซะอีก คุมมันได้ครึ่งวัน ก็ถือว่าดีทีเดียวนะ

20. Bobbi Brown BB SPF35/PA+++ #Light ซื้อมาเป็นแบบขนาดทดลอง เนื่องจากเริ่ม "สำเหนียก" ตัวเองได้ว่า ควร "พอ" เลยซื้อแบบ เบา ๆ มาแทนละกัน และผลลัพธ์ก็เป็นที่น่าพอใจนะคะ ทนทั้งวัน ทาแล้วหน้าดูไบร้ท์ขึ้น มีหน้ามันบ้างนิดหน่อย แต่ก็ไม่ได้มากมาย (อันนี้อาจจะเป็นเพราะ สภาพผิวของแต่ละคนด้วยนะคะ)

21. Laura Mercier tinted moisturiser crème compact - nude เนื่องจากสมัยเรียนมหาลัยติดใจกับแบบ liquid แล้วหมดมานานแล้ว เลยหันเหไปลองยี่ห้ออื่นมามากมาย แต่สุดท้าย ตายรังนะคะ ถ้าวันไหนอยาก แค่ เบา ๆ แบบเล็กน้อย ขอยกให้ตัวนี้เลยค่ะ


เสร็จซักทีสินะ 21 ตัว และอยากฝากอะไรไว้ค่ะ....
"หน้าก็มีอยู่หน้าเดียว กลมๆ เนี่ย จะใช้ไปทำไม รองพื้นเป็น สิบ ๆ ขวดเนี่ย!!!! มันจำเป็นมั้ย??????"
ก่อนซื้อ ถามตัวเองด้วยคำถามนี้นะคะ ปุ๋ยคิดว่า ถ้าก่อนหน้านี้ปุ๋ยถามตัวเองก่อนหน้านี้ คงไม่ได้มีล้นขนาดนี้ (อันนี้ยังไม่รวมกะที่ ขุ่นแม่ เอาไปใช้แล้ว) 
จริง ๆ แล้ว รองพื้น หาที่เหมาะกับตัวเองไว้แค่ตัวหรือสองตัวก็พอค่ะ และถ้าอยากจะทำลุคไหน ก็ค่อย adapt เอาได้ ไม่จำเป็นถึงต้องขนาดกับเปลี่ยนรองพื้นเลย เปลืองค่ะ.... 

สุดท้าย

three words, eight letters.... and i'm yours... เอ้ย ไม่ใช่!!!

two words, five letters... "มีสติ"

สวัสดี





แนะนำหนูโร่ โร๊ โรซ่าา



ได้เวลาแนะนำตัวกันแล้ววว สำหรับที่มาของชื่อบล้อค puiroza
โรซ่าเป็น สุนัข ที่น่ารักกกกกกกกกก รักกกกกที่สุดดดดดดดดดด รองจากแม่ไอติม
แล้วแม่ไอติมคือ? แม่ไอติมคือ แม่ของโรซ่า พ่อโรซ่าชื่ออะตอม
แม่ไอติมเป็นหมาที่ติด แม่ของปุ๋ยมากกกกกกก ถึงมากที่สุด ชนิดที่ว่า ถ้ากลับบ้านผิดเวลา จะเกิดการหงุดหงิด ส่งเสียง ฮึดฮัด!!! เหมือนคนอารมณ์เสีย ประมาณนั้น... แบบ หึ๋ยยยยยยยย เฮ้ออออออ ถอนหายใจยาวๆ ไอติมมีนิสัย "หยิ่ง" แนวๆ คุณนาย ชอบอยู่เฉย ๆ ถ้าใครเปิดประตูมาเข้าห้อง แล้วรู้จักแต่ไม่ใช่แม่ จะเชิดหน้าหนี~ มันเชิดจริงๆ นะ เคยเห็นมาแล้ว สะบัด พรึ่บ!! //สตั้น ไปสามวิ  แต่โรซ่ามันแด๊ดแด๋.. จะอธิบายว่ายังไงดีล่ะ ไฮเปอร์ กระโดดไปทั่ว เล่นกะใครก็ได้ แต่ถ้าปุ๋ยเรียก มันจะวิ่งงงงมาทันที!!!
.... และนี่คือ ไอติมและอะตอม ไอติมคือหน้าสองแฉก อะตอมคือ หน้าข้างเดียว


ไอติมกับอะตอม มีลูกทั้งหมด 6 ตัวด้วยกัน ต่างตัวต่างแยกย้ายไปกันหมดละ เหลือแค่ โรซ่า กับ ลัคกี้...
โรซ่าอยู่กับแม่ไอติม ลัคกี้อยู่กับพ่ออะตอม 

เล่าซะยาว นี่มันหัวข้อเรื่องแนะนำโรซ่าไม่ใช่เหรอไงงงง!!!!! จะเอาถึงทวดเลยมั้ยยยยย????!!! 

โอเค... เรื่องโรซ่า โรซ่าเป็นสุนัขที่ลักษณะเหมือนอะตอมทุกประการ เรียกได้ว่า สำเนาถูกต้องมาจากอะตอมเลย อารมณ์ประมาณ... ลูกสาวเหมือนพ่อ เดินท่าเหมือนกัน กินแบบเดียวกัน หน้าคล้ายๆกัน รูปร่างสัดส่วนเหมือนกัน และเป็นสุนัขที่ค่อนข้างจะติดปุ๋ย เดินไปไหนวิ่งไปด้วย ขี้อ้อนน โรซ่าเป็นตัวลำดับที่ 2 ในทั้งหมด 6 ตัวของไอติม เป็นตัวแรกที่กระโดด ออกจากกล่องกระดาษที่กั้นเอาไว้ได้ตัวแรก (โดยที่ไม่ได้ขึ้นมาแบบฟลุ้คๆ หรือ เหยียบตัวอื่นขึ้นมา) จริงๆก็มีเท่านี้น่ะแหละ... ลากันไปด้วย รูปอิริยาบถต่าง ๆ ของโรซ่าค่ะ




จากที่เห็นในรูปก็คงพอจะทราบกันได้ว่า "เลี้ยงหมาไว้เป็นเจ้านาย"





ผ่านวันแม่มาครึ่งเดือน พึ่งจะมาลง....

พึ่งเคยลองทำครั้งแรก การบีบ buttercream ที่ต้องใช้หัวบีบหลายๆ แบบ ผสมสีเหลื่อม เดี๋ยวเปลี่ยนหัวนู้น หัวนี้ เลอะล้างยากกกส์มากกก โดนน้ำก็มัน น้ำที่ล้างก็ต้องอุ่นค่อนร้อน ไม่งั้นมันก็เป็นคราบ ๆ (นี่แหละ เหตุที่เกลียด buttercream หรือ พวกส่วนผสมที่มีพวก shortening** คือเนยสดไม่เท่าไหร่ มันล้างง่ายกว่าพวก shortening มากก) แต่ตอนอยู่อังกฤษ ไม่มีปัญหานี้ในการล้าง เพราะที่นั่นจะมี ก้อกน้ำร้อน แยกต่างหาก คือเปิดปุป แน่นอน ร้อนจี๋ คือมือท่านสามารถพองได้ (ตอนล้าง ใส่ถุงมือยาง เลยทนความร้อนได้ในระดับนึง) และแน่นอน ไขมันพวกนี้ มันหายไปอย่างง่ายดายที่สุด สบายใจเจ๊.... แต่เมืองไทยไม่ใช่!! เมืองนี้ รู้ๆกันอยู่ คำว่า "ประเทศแถบเส้นศูนย์สูตร" มันคืออะไร ก้อกน้ำร้อนจะใช้ไปทำไม???? มีประโยชน์อะไร???? ก็คงไม่จำเป็นสินะ แล้วทีนี้ ล้างยังไงอ่ะ ลำบากชั้นละ ค้นพบวิธีนี้...

เอาอ่างผสมแสตนเลสใส่น้ำก้อกตั้งไฟไว้ เปิดไฟไว้ อ่อน ๆ ให้น้ำในอ่าง มันอุ่นค่อนร้อนตลอดเวลา พอใช้หัวบีบ หรือ อุปกรณ์ต่าง ๆ หรือแม้กระทั่ง โถผสมเอง ก็ เอาน้ำตรงนี้ไปล้างได้

ปล.อันนี้เป็นนิสัยส่วนตัวนะ ก็แล้วแต่คน บางคน ก็ใช้น้ำยาล้างจานลงไปเลย มันก็ไม่มีมันๆ เหลือละ แต่ปุ๋ยชอบแบบ กวาดให้เกลี้ยงก่อนแล้วถึงจะ ลงน้ำยาล้างจาน

** shortening คือพวก เนยมาการีน เนยขาว เนยที่ทำมาจาก น้ำมันพืช
จริงๆ เลี่ยงรับประทานน่าจะดีที่สุด เพราะมัน HIGH TRANS FAT มาก ไขมันชนิดอันตรายร้ายแรงที่สุด แต่ว่า ปุ๋ยไปดูแพคเกจเนยมาการีน ยี่ห้อนึงมา ตรงตารางสารอาหาร เค้าเขียนว่า 0 Trans Fat ไอเราก็คง อ่อ สงสัยมีวิธีการผลิตที่ดีกว่าแล้วมั้ง... อันนี้ไม่รู้ ไม่ได้ติดตาม... แต่ที่รู้นั้นคือ ในต่างประเทศ​ (ที่อากาศหนาวอะนะ) ไม่นิยมบริโภค เนยเทียมกันเท่าไหร่ เพราะเนื่องจาก เนยของเค้า มันอร่อยอยู่แล้ววว... ถึงจะ ไขมันสูง แต่ไม่ใช่ไขมันอันตราย (แต่ถึงยังไง ทานเยอะก็ ไม่พ้นคำว่าอ้วนนะ)

แจกแจง "Trans Fat" นิดนึง... ไขมันทรานส์ คือ ไขมันชนิดที่ร้ายแรงที่สุด เป็นไขมันอิ่มตัว แม้จะรับประทานได้ แต่!! เพิ่มความเสี่ยงในการอุดตันของหลอดเลือดหัวใจ (อู้วว..) เพิ่มอัตราความเสี่ยงเป็นโรคเบาหวาน ความดันโลหิตสูง หลอดเลือดหัวใจตีบ เป็นต้น ทั้งนี้ ยังไม่รวม โรคอ้วนนะแจ๊ะ
เพราะฉะนั้นเวลา จะบริโภคอะไร คิดได้ดี๊ ดี ดี ดี ดี ดี ดี ก่อนจะหยิบเข้าปาก (แต่ก็เข้าใจนะ บางทีมันก็ ยากส์จะห้ามใจไหว T_T)

พล่ามซะเยอะเนอะ ใครจะขยันอ่านได้ขนาดนี้ เค้กที่ได้ก็ออกมาหน้าตาเช่นนี้แหละค่ะท่าน....

อย่างที่บอก "พึ่งทำครั้งแรกกับการบีบครีม" ได้เท่านี้ก็ดีเท่าไหร่แล้ว แถมบีบใบไม้ผิดด้านอีกต่างหาก 555555 และโปรดสังเกตแค่เค้กพอ แบคกราวอย่าได้ถือสา...






ปล. (ชักหลายรอบ) ที่เห็นรูปสำเร็จนั่น แล้วมี รอยขีด นั่นคือ... ความผิดพลาดทางเทคนิค เละน้อย พอดีกะระยะแย่ไปนิดดนึง อุๆ

ปล. (ครั้งสุดท้ายละ) เนื่องจาก ความรู้ในการสร้างสรรค์ศิลปะ และ ความเป็น creative และหัวสมองสุดแสนจะ artist ของปุ๋ย รวมกับความปราดเปรื่องในเรื่องการใช้คอมพิวเตอร์ ปุ๋ยขออภัยทุกท่านด้วยนะคะ เพราะ ที่กล่าวมาทั้งหมดนั่น ไม่มี ...... จึงตกแต่งบล้อคได้ดีเพียงเท่านี้จริง ๆ สุดความสามารถละ 555555

cr. เอาต้นแบบมาจากเวบบอร์ดในพันทิพย์ค่ะ แต่หาลิ้งค์ไม่เจอแล้ว ต้องขออภัยเจ้าของผลงานด้วยนะคะ


Introducing myself แนะนำตัวกันหน่อยยย

สวัสดีค่า ทุกๆท่าน ที่ไม่ว่าจะตั้งใจเข้ามา หรือว่า เข้ามาโดยตั้งใจ = =" เป็นบล้อคที่เกี่ยวกับสิ่งที่ปุ๋ยสนใจ ไม่ว่าจะเป็น เครื่องสำอาง เสื้อผ้า เบเกอรี่ และอื่น ๆ

  เครื่องสำอาง จะทยอย ๆ รีวิวเป็นช่วง ๆ ไป ขึ้นอยู่กับว่าช่วงไหนอยากรีวิวอะไร อาจจะเป็นของเก่า หรือของที่พึ่งออกใหม่ ก็แล้วแต่ มือใหม่ ยังไง ผิดพลาดยังไงขออภัยล่วงหน้านะคะ ^^ แบรนด์ส่วนตัวที่ชอบถ้าเป็นบำรุงผิว ขอเอนไปทาง origins ซะส่วนใหญ่ เพราะปุ๋ยใช้มาแล้วเป็นสิบปีค่ะ แต่ก็มีแบรนด์อื่น ๆ แทรกมาบ้าง ตามสมควร ส่วนเครื่องสำอางนี่ หลากหลายเลยค่ะ ไม่ว่าจะเป็น Mac, Bobbi Brown, Estee, Dior, YSL, Chanel, etc. ต่างๆ นาๆ มากมาย นับไม่ถ้วน ว่าจะหยุดซื้อหลายทีแล้ว แต่ก็ไม่เคยทำได้ค่ะ........

  เสื้อผ้า เนื่องจากพึ่งจะเกือบผอม (ใช้คำว่าเกือบผอมเพราะว่าก็ยังไม่ได้ผอมเลยซะทีเดียว) ก็เลยพึ่งจะมาถาโถมเริ่มซื้อเสื้อผ้า เมื่อปีที่แล้วได้ (เริ่มประมาณช่วงปลายๆปีที่แล้ว 2013) และติดตามเสื้อผ้า Thai designer เป็นพิเศษ brand ที่ชอบและติดตามจริง ๆ ต้องเป็น Thea by Thara ค่ะ เพราะแนวจะออก working women ผสม sexy นิด ๆ หวานหน่อย ๆ ลงตัวดีที่สุด จริงๆ แล้วแบรนด์อื่นก็ชอบค่ะ (จะว่าไปก็ชอบเกือบหมดอะนะ อย่าให้เดินเชียว โซนเสื้อผ้า โซนอันตราย) ที่ซื้อบ่อย ๆ นอกจากจะ thea by thara แล้วก็ยังมี bi chalai ใครมี instagram ของร้านนี้ อาจจะเห็นปุ๋ยไปเป็นนางแบบจำเป็นอยู่ สองสามรูป แหะ ๆ และแบรนด์ร้านเสื้อที่เป็น ready to wear กึ่ง made to order ก็ชอบ Chayada Boutique ค่ะ ไว้จะมารีวิวให้ดูกัน นอกจากนี้แบรนด์อื่นก็จะมีประปราย แต่จะหนักทาง Thai designer มาก ๆ ค่ะ ชอบบบบเป็นพิเศษ ไม่ว่าจะเป็น Kwankao, Vickteerut, Milin, La Boutique, Sleeping Pills และอื่น ๆ เสื้อผ้าแนวที่ชอบจะออกไปทางแนว ไม่หวานแหววนะคะ ยกตัวอย่างแบรนด์ที่ หวานๆ หญิงๆ เลย เช่น Wila, Kloset, Disaya เป็นต้น จะถูกใจปุ๋ยยากหน่อย แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าไม่ดีนะคะ 

  ขนมหวานนน ต้องเกริ่นกันตั้งแต่เด็กเลยทีเดียว ว่าเป็นคนที่ชอบบบบบบทำขนมมาแต่ไหนแต่ไรแล้ว แต่ยอมรับบางทีก็ ขี้เกียจทำค่ะ = =" แต่จริงๆแล้ว พอบอกว่าขี้เกียจทำ แต่ถ้าสมมติว่าต้องทำ ถ้าได้จับอุปกรณ์ชิ้นนึงขึ้นมาแล้ว ความขี้เกียจมันก็หายไปเอง กลายเป็นความเพลินแทนค่ะ ถนัดทางขนม ไม่ถนัดทางครัวอาหารคาว และไว้มีโอกาสจะมาลงวิธีทำ ขั้นตอน เทคนิค ให้ดูค่ะ

  ประวัติส่วนตัวนิดหน่อย
ชื่อ "ปุ๋ย" ค่ะ ไม่ได้เป็นชื่อแรกตั้งแต่เกิด แต่มีหลายชื่อมากจนได้เป็นชื่อปุ๋ย เนื่องจาก ตอนนั้น คุณปุ๋ย ภรณ์ทิพย์ เป็น นางงามจักรวาลค่ะ LOL ตอนประถมและมัธยมต้น เรียน ไม่เก่งเลย ออกแนวขี้เกียจซะด้วยซ้ำ แต่พอมา พาณิชย์​ (ปุ๋ยไม่ได้เรียน มัธยมปลายปกติค่ะ แต่มาแนวพาณิชย์) ผลการเรียนก็ดีขึ้น อย่างที่เรียกว่า หลังมือ เป็นหน้ามือ!! เพราะ.... ความอยากได้มือถือ = =" เพราะสัญญากับแม่ไว้ว่า ถ้าเกรดดีขึ้นอย่างเห็นได้ชัด แม่จะซื้อให้ แล้วก็ สำเร็จค่ะ!! จบพาณิชย์ปุป ก็ต่อ ABAC BBA ค่ะ คณะบริหาร สาขา บัญชี เอก auditing (ภารกิจฆ่าตัวตายรึเปล่าไม่รู้ เพราะตั้งแต่เลือก เกรดก็ร่วงเอา ๆ ๆ ๆ แต่อย่าโทษวิชาเลย โทษตัวเองดีกว่า แหะๆ)  หลังจากเรียนจบก็มานั่งทำงานที่บ้าน โดยไม่มีจุดหมายปลายทาง และวันดีคืนดี ก็อยากจะไปเรียนทำขนม และก็ได้ไปค่ะ Le Cordon Bleu, London ถือว่าเป็นจุดเปลี่ยนชีวิตเลยก็ว่าได้นะ เพราะเหมือนได้เปลี่ยนสังคม เปลี่ยนทุก ๆ อย่างรอบข้างทั้งหมด เจออะไรใหม่ ๆ เป็นผู้ใหญ่ขึ้น (รึเปล่า) แต่ที่แน่ ๆ แล้ว รู้เลยว่า ตัวเองมีความ "เยอะ" น้อยลงค่ะ สำหรับตอนนี้ก็ตอนนี้ก็นั่งทำงานที่บ้านเหมือนเดิม ในขณะที่ก็ job hunting ไปในขณะเดียวกัน ตระเวน สมัครแอร์บ้าง (ถึงอายุจะเกินสำหรับสายการบินส่วนใหญ่แล้วก็ตาม)  หัวข้อเขียนว่าประวัตินิดหน่อย นี่ก็ชักยาว ขอจบไว้เท่านี้ดีกว่าาา.... ลาไปด้วยรูปปุ๋ยเอง และ รูปผลงานเบเกอรี่ประปรายย