Hello... Bipolar สวัสดี ไบโพลาร์

Bipolar, Nice to meet you.


ชีวิตนี้ไม่คิดเหมือนกันนะว่าจะเป็นโรคทอปฮิตติดปากได้ขนาดนี้
คนส่วนใหญ่ เวลาเจอเพื่อนหรือคนรู้จักที่อารมณ์ปี้ดง่าย ก็จะว่า "นี่เมิงเป็นไบโพลาร์ปะเนี่ย"

ใช่ล่ะ
แต่ถูกแค่ 30%
ออกตัวก่อนว่าไม่ใช่ผู้เชี่ยวชาญใดๆ หรือกูรูผู้รอบรู้ 
แต่นี่เขียนจากประสบการณ์จริง ที่ตอนนี้เจออยู่ เป็นอยู่ ประสบอยู่

ยาวนิดนึงนะ แต่เป็นประสบการณ์ตรง


ไบโพลาร์คืออะไร
ชื่อโรคนี้ เวลาแปลเป็นไทยมันยาว แต่ก็ไม่รู้จะย่อให้สั้นยังไง เพราะย่อสั้นแล้วมันก็ฟังไม่เข้าใจอยู่ดี
มันชื่อว่า "โรคอารมณ์แปรปรวนสองขั้ว"

หลายคนอาจจะเห็นตามละครบ้าง หรือตามคลิปในเนทบ้างที่มีผู้สวมบทบาทเป็น ไบโพลาร์
อย่างน้อยๆ ภาพติดตาก็จะเป็น "การอาละวาด" 
แต่ในเมื่อภาษาไทยมีการให้การจำกัดความว่า โรคอารมณ์แปรปรวนสองขั้ว เพราะฉะนั้นที่เราเห็นนั้น มันแค่ด้านเดียวหนิหว่า อาละวาดเนี่ย

เอาง่ายๆ
แค่แบ่งเป็น บวกกับลบ ก็พอ
บทความตามอินเตอร์เนทนั้น มีเยอะแยะมากมายเกี่ยวกับโรคนี้ แต่ว่า ผู้ป่วยในแต่ละรายนั้น อาจจะไม่มีอาการครบตามนั้นๆ ก็เป็นได้ เช่น บางคนถ้าตอนมีอารมณ์ Mania นั้นจะนึกว่าตัวเองมีพลังวิเศษ สามารถบินได้ ก็มี.. แต่ปุ๋ยยังไม่ถึงขั้นนั้น อาการของโรคส่วนใหญ่จะเป็น อารมณ์นำมาก่อนเหตุผลเสมอๆ

อย่างปุ๋ย
ขั้วบวก (Mania) คือ มีแรง ออกไปชอปปิ้ง ชอปปิ้งแล้วสนุก การได้ออกไปเดินห้าง ได้จับจ่ายใช้สอยอย่างสนุกมือ เอาเป็นว่า ยานอนหลับยังฉุดไม่อยู่ คือไปชอปได้ แต่เดินเซ ก็ยอม

ขั้วลบ (Depressed) คือ ขั้วของการซึมเศร้า อยู่ๆก็ร้องไห้ ฟูมฟาย ว่าชั้นทำไมต้องเป็นโรคนี้ด้วย ชั้นไม่ได้อยากจะเป็น ชั้นเป็นภาระให้คนอื่น ชั้นมันไม่ดี ไม่สมควรมีชีวิต คิดไปคิดมาแล้วก็ แกะยาทั้งแผงกรอกปากซะงั้น

หมอบอกว่า คนไข้ส่วนใหญ่ที่เป็น Bipolar Disorder นั้น ไปพบจิตแพทย์ด้วย "โรคซึมเศร้า (Depressed)"
เพราะงั้น สรุปได้ว่า "โรคซึมเศร้า เป็น subset ของ Bipolar"

แต่เวลาดีใจ หรือ ขั้วบวกปุ๋ย ไม่ได้มีอาการกระดี๊กระด๊า วี้ดวิ้ว เหมือนในทีวี แต่จะเป็นอาการแบบที่ยิ้มได้ สบายใจเท่านั้นเอง ส่วนถ้าเวลามีคนขัดใจ จะอาละวาดหนัก หัวจะระเบิด จะกรี๊ด 
หลายคนนึกว่า กรี๊ด ก็แค่กรี้ดปะ.... แต่ไม่นะ การกรี๊ดของปุ๋ยในที่นี้คือ การก้าวผ่านเส้นคำว่า"บ้า" ซึ่งมันกินแรงมากๆเลย เหนื่อยทั้งกายและใจ

สาเหตุ
บอกยาก... อาจจะมีสาเหตุจากพันธุกรรม หรือ สารเคมีในสมองเกิดเพี้ยน หลั่งออกมาแปลกกว่าชาวบ้านเค้า เป็นที่สื่อประสาทไม่สมดุล

เล่าจากประสบการณ์ตรง 
เมื่อประมาณซัก 4-5 เดือนก่อน ปุ๋ยเริ่มรู้สึกถึงความเหนื่อยในชีวิต ทั้งๆที่ก็ไม่ได้ทำอะไร หรือมีอะไรที่มากระทบกระเทือนจิตใจ คือมันปกติมากๆ เริ่มรู้สึกว่าทำไมชีวิตนี้มันเหนื่อยจัง ทำไมชั้นต้องไล่ตามลดน้ำหนัก ทำไมชั้นต้องอยู่ในกรอบ ทำไม ๆๆๆๆๆ  แล้วก็เริ่มหาคำตอบให้ตัวเอง แต่ก็หาไม่ได้ หาไม่เจอ เริ่มหงุดหงิดง่ายมากๆ ปี้ดแตกได้ พร้อมชนตลอด
ความคิดมันก็จมอยู่แบบนั้น แต่พยายามทำตัวให้หายเบื่อนะ เช่นเปลี่ยนวิธีออกกำลังกาย ออกไปวิ่งสวนสาธารณะข้างนอกบ้าง ไปเดินห้างกับแม่บ้าง แต่มันก็ไม่ดี และก็ปล่อยมันอยู่อย่างนี้ จนมีอยู่วันนึง เจอคำพูดของคนที่บ้านเข้าคำนึง ทั้งๆที่ ไม่ได้เป็นคำที่รุนแรงอะไรเลย แต่นี่ร้องไห้ฟูมฟายบอก ไม่เอาแล้ว ไม่ไหวแล้ว แฟนเลยชวนว่า "ไปหาหมอเถอะ" 

พบจิตแพทย์ไม่ได้น่ากลัวอย่างที่คิด ใครก็ไปได้ทั้งนั้น 
มันไม่ได้แปลว่าเราเป็นบ้า เราแค่มีปัญหาที่คิดไม่ตกเท่านั้นเอง

เชื่อมั้ย... พอปุ๋ยตัดสินใจจะไปหาหมอ โทรไปทั้งหมด 5-6 โรงพยาบาลใหญ่ๆ 
จิตแพทย์คิวเต็มทุกท่าน.... ต้องนัดล่วงหน้าไปอีกประมาณครึ่งเดือน
เอาสิ คิวเต็ม.....
จนเผลอนึกว่า เอ่ะ... ละถ้าสมมติอาการชั้นจะไม่ไหวละ กูจะฆ่าตัวตายเดี๋ยวนี้แล้ว แต่ต้องรอพบจิตแพทย์ อีกสองอาทิตย์ ละสมมติฆ่าตัวตายสำเร็จไปก่อน มันจะเป็นความผิดใคร เพราะในเมื่อชั้นก็ตัดสินใจหาหมอแล้วนะ แต่หมอไม่ว่างอ่ะ

พอไปถึง โรงพยาบาล เหมือนการพบหมอเวลาเราไม่สบาย เป็นหวัดทุกอย่าง บรรยากาศปกติ เป็นกันเอง อย่าไปนึกถึงแบบในหนังว่า ฉันต้องนอนนะ แล้วเล่าความรู้สึกนะ มันไม่ใช่ 
มันแค่เป็นการพูดคุยเหมือนเราปรึกษาใครซักคน ที่เค้ารู้วิธีแก้ไขซะมากกว่า

พอหาหมอแล้ว ไปด้วยอาการสงสัยว่าตัวเองจะเป็นโรคซึมเศร้า นางพยาบาลก็ให้ทำแบบทดสอบ ก็สรุปว่าใช่ ว่าเป็น หมอเลยจ่ายยาต้านเศร้ามาชื่อ Sertraline (บอกไว้ก่อนว่า ใครที่สงสัยว่าตัวเองเป็นโรคทางจิตเวชแบบนี้ ห้าม ซื้อยากินเองเด็ดขาด ถึงแม้มันจะซื้อได้ เราต้องให้หมอวินิจฉัยก่อนว่า เราเหมาะกับยาที่ทำปฏิกิริยากับสื่อประสาทชนิดไหน เพราะถ้ากินยาผิด มันมีผลทำให้เราเกิดความคิดฆ่าตัวตายได้เลยทีเดียว)
ได้ยาต้านเศร้ามาแล้ว เราก็ใช้ชีวิตแบบปกติ แบบเศร้าๆ ซึมๆ ตึงๆ ไปสองอาทิตย์โดยมีอาการแปลกๆอย่างอื่นเริ่มมา เช่น หงุดหงิดตลอดเวลา รอไม่ได้ เห็นไฟแดงแล้วจะต้องหยิกขาหยิกแขนตัวเอง เบี่ยงเบนความสนใจ เริ่มทำร้ายตัวเอง มันจะต้องไฮเปอร์ จะต้องไปห้าง มันจะต้องซื้อทุกอย่างที่มอง
ในที่สุดก็ถึงเวลานัดหมอ และคุยถึงอาการที่ว่า หมอก็บอกว่า นี่ไม่ใช่อาการของโรคซึมเศร้าซะแล้ว
เพราะมันคือ

Bipolar

ปุ๋ยก็.... อ่ออ สวัสดี ชีวิตนี้ไม่เคยคิดจะเป็นไบโพลาร์เลย แต่ stage นี้ของปุ๋ยจะเป็นช่วง stage ของการทะเลาะกับตัวเอง
มันเหมือนในสมองมีสองเสียง คิดภาพเหมือนในการ์ตูนดู ข้างซ้ายเป็นตัวกาตูนมีปีกนางฟ้า... อีกข้างเป็นตัวแดงๆ เดวิลถือง่าม คอยกระซิบในหัวอยู่ตลอด เวลาเราจะทำอะไรอย่างใดอย่างหนึ่งเช่น
ซื้อน้ำหอม
ด้านดี : ยังไม่ต้องซื้อ ที่บ้านมีตั้งเยอะ หมดค่อยซื้อ มันยังไม่เจ๊งซะหน่อย
ด้านร้าย : ซื้อสิ รออัลไลล อยากได้ก็ซื้อ 

และในช่วงแรกๆ ของการรักษา ด้านร้ายมักชนะ ซื้อแหลกกกกกกกกก 
หลายครั้งซื้อมาก็แค่นั้น ไม่ได้ดีใจไม่ได้รู้สึกยินดีที่ได้มาเท่าไหร่ ถึงบ้านมาก็เก็บๆ จบ
หมอบอกว่า คนไข้ ไบโพลาร์ที่พึ่งได้รับยา จะเป็นแบบนี้แทบทุกราย คือ "ทะเลาะกับตัวเอง"
มันเหนื่อยนะเห้ย!!  
การเป็น Bipolar นั้น ลักษณะนิสัยจริงๆของผู้ป่วยจะเปลี่ยนไป กลายเป็นนิสัยของโรคซะมากกว่า คือเอาอารมณ์นำก่อนเหตุผล
แต่พอได้รับยาแล้ว ไอตัวนิสัยเสียก็จะเริ่มถูกไล่ออกไป ด้านปกติก็จะแง้มๆออกมา มันเลยกลายเป็น stage ของการทะเลาะกันในหัว

ยิ่งจะทะเลาะดังขึ้นไปอีก ถ้าเอาตัวเองไปอยู่ในสถานที่ ที่ง่ายต่อการกำเริบของโรค 
สำหรับปุ๋ย สถานที่นั้นคือ "ห้างสรรพสินค้า"

มันจะเรียกร้องให้ไปให้ได้ทุกวัน ย้ำเลย ทุกวัน จริงๆ
แล้วก็จะต้องมีของติดมือกลับมาให้ได้ทุกวัน ไม่งั้นจะเฟล จะร้องไห้ จะฟูมฟาย จะทำร้ายตัวเอง ครั้งนึงเคยอาละวาดแล้วตะโกนออกมาว่า เอามีดมา เอามีดมาาาาาา!!!! 

ยาที่ใช้รักษา
แรกๆ ที่พบว่า อาการไบโพล่าร์เริ่มออก หมอให้แอดมิดวอร์ด จิตเวท เพื่อน้อคยา เพราะยา Quetiapine นั้นจะต้องเพิ่มโดสอย่างรวดเร็ว และจะทำให้เราเกิดอาการ "น้อค" ยา 
คือนอนอย่างเดียว มึน งง เบลอ อาการอึนๆ ทั้งปวงจะเกิดขึ้น
ปุ๋ยนอนไปสามคืน
โดสรักษา Bipolar ด้วย Quetiapine ก็เยอะอยู่ บวกกับยาอย่างอื่นร่วมด้วย 
อย่างตอนนี้ ปุ๋ยมีกินยาอยู่คือ Quantia100, Seroquel XR300, Lithium Carbonate, Lorazepam, Diazepam 

การรักษา และผลข้างเคียงจากยา
เต็มๆที่ เจ็บปวดเลยนะ บอกเลย น้ำหนักขึ้นเยอะมากกกกก แล้วทุกตัวที่ทานมีฤทธิ์ทำให้ง่วงซึม เบลอ อึน มึน เดินเซ ก่งก๊ง พูดช้า คิดช้า จนคนรอบข้างสังเกตได้ว่า คนนี้มึนๆอะไรอยู่ซักอย่าง
แต่ทำไงได้อ่ะ มันต้องกิน

ปัจจัยหลักในการรักษานอกจากยา ก็คือ สภาพแวดล้อมและคนรอบข้าง
หลายคน หลายครั้ง จะต้องมีคนรอบข้างที่ไม่เข้าใจ หรือเข้าใจแต่ไม่ทั้งหมดรวมอยู่ด้วย
อย่างแม่ปุ๋ย ถือว่าอดทนมาก ที่ไม่ต้องพบจิตแพทย์อีกคน เพราะโดนกรี๊ดใส่แทบตลอด เหมือนเป็นที่รองรับอารมณ์ แต่ถามว่าทำไมต้องทำแบบนั้นกับแม่ล่ะ?..... ปัญหาคือไม่ใช่แค่อย่าทำกับแม่ หรือไม่ควร แต่มันเป็น ถ้าอารมณ์มันจะหลุดมันไปเลย มันคอนโทรลตัวเองไม่ได้ แต่ถามว่ารู้ตัวมั้ย รู้ตลอดเวลา

คงจะให้คนป่วยมาอธิบายว่าชั้นเป็นแบบนี้ มันก็คงไม่ใช่ และจะให้คนรอบข้างมาเอาใจ ก็ไม่ใช่อยู่ดี
ปัญหานี้ ค่อนข้างเป็นปัญหาหลักสำหรับคนป่วยเป็นโรคนี้ เพราะส่วนใหญ่แล้วคนรอบข้างจะเป็นปัจจัยในการกระตุ้นให้อาการกำเริบได้ หรือประโยคบางประโยคที่พูดออกมาแล้ว ผู้ป่วยรู้สึกไม่ดี
เช่น ทำไมวันอาทิตย์ออกไปข้างนอกได้ ในขณะที่วันธรรมดาต้องมีนอนพัก ตอบตรงนี้ว่า 1.การนอนให้เยอะคือการรักษาอย่างหนึ่ง 2.หมอจ่ายยาซึ่งมีฤทธิ์ง่วง 3.หมอพูดว่า ถ้านำคนไข้ที่เป็น Mania ไปอยู่ในสถานที่ที่เค้าใช่ เค้าชอบ ยานอนหลับที่ไหนก็ฉุดแรงเค้าไว้ไม่ได้ 4.ถ้าไม่ให้ออกบ้านวันอาทิตย์เจอกะแฟน แล้วจะให้ไปวันไหนล่ะ - -" จริงปะ

เคยมีอยู่ครั้งนึง เกิดเรื่องบางอย่างที่บ้าน ซึ่งทำให้ปุ๋ยรู้สึกว่า พอแล้ว ไม่เอาแล้ว ไม่กินยาแล้ว ชั้นจะไม่รักษาแล้ว ยาเยอไม่กินแล้ว กูหายแล้ว กูจะไม่บ้า กูเหนื่อยว้อย พออออ 
ความรู้สึกจะประมาณนั้น เลยไม่ได้กินยาไปตอนกลางวัน กับ เย็น
พอถึงหัวค่ำ ความกระสับกระส่าย ความไฮเปอร์ ความคิดมันแล่นไว ความรู้สึกผิด ในหัวมีแต่คำว่า ทำไม ๆๆๆๆๆๆ ตลอดเวลา แล้วหาคำตอบให้มันไม่ได้ หัวจะแตก จะเป็นบ้า ไม่สิ ก้าวข้ามเส้นคำว่าบ้าแล้ว ร้องไห้ฟูมฟาย ไม่หยุด พอร้องไห้หนักๆ มันก็ยังไม่ตอบโจทย์ ก็เลยต้องกรี๊ด กรี๊ดดดดดดดดดด ซ้ำๆ จนเสียงหมด แล้วพักแปปนึงแล้วกรี๊ดดดดซ้ำๆ อีกรอบ
นั่นแหละ คือบ้า
เลยตัดสินใจจากวันนั้นว่า กุอ้วนก่อนก็ได้วะ 

ตอนนี้รักษามาได้ซักประมาณ เกือบๆ 2 เดือนละ อาการบ้าค่อยๆดีขึ้น พร้อมกับน้ำหนักที่ยังคงขึ้นอยู่เรื่อยๆ 
ใครที่กำลังคิดว่าตัวเองจะเป็น หรือ เป็นแล้ว สู้ๆนะ ปุ๋ยให้กำลังใจ ไปหาหมอ แล้วทุกอย่างจะดีขึ้น
ส่วนใครที่ปกติดี เป็นกำลังใจให้ด้วยละกันนะ 
ขอบคุณจ้าาา


No comments